Dr. Kevin Barrett นักวิเคราะห์ชาวอเมริกันเผยว่า การโจมตีสหรัฐฯ เมื่อเดือนกันยายน 2001 เป็นส่วนหนึ่งของแผนการอิสราเอล ในการแทนที่คอมมิวนิสต์ด้วยโรคหวาดกลัวอิสลาม (Islamophobia) ผ่านการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ผิดพลาดของศาสนาอิสลาม ในฐานะภัยคุกคามใหม่สำหรับการก่อการร้ายโลก ทั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้เทลอาวีฟและพันธมิตร สามารถบรรลุถึงเป้าหมายของพวกเขาได้
ในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Press TV – Kevin Barrett นักวิเคราะห์และนักวิจารณ์การเมือง จากเมดิสัน รัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา ได้ระบุถึง ผลการสำรวจของชาวมุสลิมในอเมริกา และความท้าทายใหม่ในยุคสมัยของรัฐบาล โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
โดยผลการสำรวจของศูนย์วิจัย Pew แสดงให้เห็นว่า เกือบสามในสี่ของชาวมุสลิมในอเมริการู้สึกว่า ทรัมป์มีพฤติกรรมที่ไม่เป็นมิตรกับพวกเขา
ร้อยละ 64 ของชาวมุสลิมที่เคร่งครัดศาสนา เช่น สตรีผู้สวมฮิญาบยืนยันว่า เมื่อเร็วๆนี้ พวกเธอต้องเผชิญกับการเลือกปฏิบัติ และเกือบครึ่งหนึ่งของพวกเธอกล่าวว่า ในปีที่ผ่านมา พวกเธอต้องประสบกับปัญหาทางสังคม อาทิเช่น ผู้คนแสดงอาการหวาดกลัว หรือไม่ไว้วางใจ บางคนก็ข่มขู่ ดูหมิ่น และใช้วาจาที่ไม่เหมาะสมกับพวกเธอ
Kevin Barrett กล่าวเสริมว่า ทรัมป์เข้าสู่ทำเนียบขาวด้วยคลื่นกระแสของ Islamophobia และยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่คอยปลุกปั่น Islamophobia ให้ทวีความรุนแรงมากขึ้น และนับจากเหตุโจมตีเมื่อเดือนกันยายน 2001 จนถึงปัจจุบัน Islamophobia ได้สอดแทรกอยู่ในระบอบการปกครองของสหรัฐฯอย่างเหนียวแน่น
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญชาวอเมริกันยังเน้นย้ำว่า อิสราเอล สหรัฐฯและพันธมิตร ได้จัดฉากโจมตีเหตุการณ์ก่อการร้ายต่อพลเมืองชาวอเมริกันเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 โดยได้ใช้ประโยชน์จากความรุนแรงดังกล่าว เพื่อเป็นข้ออ้างในการเปลี่ยนให้ “การก่อการร้าย” เป็นปฎิปักษ์ ที่มาแทนที่ระบอบคอมมิวนิสต์ จากกรณีความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ดำเนินมาก่อนหน้ายุคสมัยปัจจุบัน
Kevin Barrett กล่าวว่า การโจมตี 11 กันยา เป็นส่วนหนึ่งของแผนการสร้างความเกลียดชังมุสลิม ในหมู่ชาวอเมริกาคนรุ่นใหม่ และเป็นกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุสู่เป้าหมายใหม่ของโลกตะวันตกและพันธมิตร
นักวิเคราะห์ท่านนี้ ชี้ว่า อิสราเอลเป็นผู้รับผลประโยชน์หลักของการโจมตี 11 กันยา และการแพร่กระจายของ Islamophobia และกล่าวว่า การโจมตีที่เกิดขึ้นยังสอดรับกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตะวันตกอีกด้วย นอกจากนี้ มันยังถูกใช้ ในฐานะเครื่องมือเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ ในการก่อให้เกิดความไม่มั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลาง
Kevin Barrett กล่าวว่า แม้ว่าทรัมป์จะค่อยไม่รู้สาเกี่ยวกับกิจการในระดับโลก แต่เขายังพอมีไหวพริบ เมื่อคำนึงถึงวิธีที่เขาใช้แสวงหาความนิยมจากประชาชน โดยเขารู้ว่า Islamophobic คือ กลยุทธ์ชั้นเด็ด ที่สามารถหลอกลวงผู้คน ให้ลงคะแนนเสียงให้กับเขา
ทรัมป์ กล่าวในการหาเสียงเลือกตั้งว่า “อิสลามเกลียดชังเรา” และเสนอสั่งห้ามชาวมุสลิมเข้าสหรัฐฯ อีกทั้งยังมีความพยายามส่งเสริมให้มีการตรวจสอบมัสยิดต่างๆภายในประเทศ และกล่าวปราศรัยอย่างเป็นทางการในหลายโอกาส ผ่านการใช้วลี (เกี่ยวกับ) “การก่อการร้ายอิสลาม”
ในที่สุด โดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม เป็นระยะเวลา7 วัน ก็ได้ลงนามออกคำสั่งอย่างเป็นทางการ ประกาศสั่งห้ามประเทศมุสลิม 7 ชาติเข้าสหรัฐฯ
Kevin Barrett เน้นย้ำว่า มุสลิมชาวอเมริกันควรมีบทบาทมากขึ้น เพื่อแสดงให้เห็นภาพลักษณ์ที่แท้จริงของชาวมุสลิมและพิสูจน์ให้เห็นถึงความผิดพลาดในคำแอบอ้างของวอชิงตันที่มีต่อประชาชาติมุสลิม
Source: parstoday.com