เรื่องราวของการก่ออาชญากรรมและการสังหารหมู่ของอิสราเอลอยู่ต่อชาวปาเลสไตน์ที่ถูกกดขี่มีมาอย่างช้านาน
การก่ออาชญากรรมต่อชาวปาเลสไตน์เริ่มต้นขึ้น และดำเนินมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 1948 อย่างไรก็ดี ในบทความชิ้นนี้ เราจะกล่าวถึงการก่ออาชญากรรมบางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในเขตมัสยิดอัลอักซออันศักดิ์สิทธิ์
การสังหารหมู่ครั้งแรก ในมัสยิดอัลอักซอ เกิดขึ้น เวลา 10.30 น. ในวันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม 1990 ก่อนเที่ยงและก่อนเริ่มทำการนมาซซุฮริ ในช่วงเหตุการณ์นี้ กลุ่มชาวยิวหัวรุนแรงซึ่งเป็นที่รู้จักในนามของกลุ่ม ” Temple Mount Trust ” เดินเข้าไปในลานมัสยิดเพื่อวางศิลาฤกษ์ศาสนาสถานที่สาม บรรดาผู้เข้าร่วมละหมาดต่างพยายามสกัดกั้นไม่ให้เข้ามา จนเรื่องบานปลาย กระทั่งเกิดเหตุการปะทะกันระหว่างมุสลิมกับชาวยิวหัวรุนแรง นำโดย Ghrshvn salmon ผลจากการปะทะกันครั้งนั้น ทำให้ทหารของระบอบอิสราเอลรีบรุดเข้ามาแทรกแซงและเปิดฉากกราดยิงชาวมุสลิมปาเลสไตน์ เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิต 21 คน ได้รับบาดเจ็บ 150 คน และถูกจับกุม 270 คน ทั้งนี้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บมีความล่าช้าถึง 6 ชั่วโมง เนื่องจากทางการอิสราเอลได้ปิดเส้นทางมัสยิดและป้องกันไม่ให้มีกำลังเสริมเข้ามา
การสังหารหมู่ครั้งที่สอง หรือที่เรียกว่า Intifada หรือ Tunnel อาชญากรรมนี้เกิดขึ้นหลังจากการประกาศเปิดอุโมงค์ใกล้กำแพงด้านตะวันตกของมัสยิดอัลอักซอ ในวันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม 1996 ในระหว่างเหตุการณ์นี้ มีการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างชาวปาเลสไตน์และตำรวจปาเลสไตน์ กับทหารของระบอบปกครองอิสราเอลทั่วดินแดนปาเลสไตน์ ด้วยจุดประสงค์เพื่อปกป้องมัสยิดอัลอักซอ ในที่สุดการปะทะกันครั้งนี้ ทำให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิต 51 คนและได้รับบาดเจ็บ 300 ราย ส่วนฝ่ายทหารอิสราเอลเสียชีวิต 15 รายและบาดเจ็บ 78 ราย ซึ่งการปะทะกันนานดำเนินระยะเวลายาวนานถึงสามวัน
การสังหารหมู่ครั้งที่สาม เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ ชารอน เข้าสู่มัสยิดอัลอักซอ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9/28/2000 โดยที่ชาวปาเลสไตน์ถือว่ามันเป็นการลบหลู่ศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ หรือ มัสยิดอัลอักซอ และชายหนุ่มชาวปาเลสไตน์ออกมาต่อต้านทหารกองกำลังอารักขาชารอน มากถึง 9,000 นาย ป้องกันไม่ให้ชารอนลบหลู่ศาสนสถานแห่งนี้
วันรุ่งขึ้น วันศุกร์ที่ 29/09/2000 ทหารของระบอบการปกครองอิสราเอล ได้ทำการรุกรานและเปิดฉากยิงใส่ผู้ละหมาดวันศุกร์ และทำให้ลานประภาคารของมัสยิดเจิงนองไปด้วยคราบเลือด และการก่ออาชญากรรมนี้ถือเป็นหนึ่งในอาชญากรรมที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่ได้ฆ่าสังหารชาวปาเลสไตน์มากถึง 250 คน และเหตุการณ์นี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นของขบวนการ intifada ที่สอง ทั่วแผ่นดินปาเลสไตน์ ซึ่งนับจากนั้นมาชาวปาเลสไตน์หลายร้อยคนได้เสียชีวิต(เป็นชะฮีด)เพื่อปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขา
นอกจากนี้เราจะกล่าวถึงความก้าวร้าวของชาวอิสราเอลที่มีต่อศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ มัสยิดอัลอักซอดังนี้ :
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 1968 Shlomo Gharon นายทหารของอิสราเอลพร้อมลูกน้อง 50 คนเข้าไปในมัสยิดและประกอบพิธีศาสนาของพวกเขา
08/08/1973 Rachin Lewis Rabinowczyk และ Benjamin Haleff จาก โบสถ์อิสราเอลเข้าไปยังมัสยิดอักซอเพื่อดำเนินการสวดมนต์ตามพิธีความเชื่อของพวกเขา
28/01/1976 รู ธ อู๊ด ผู้พิพากษาศาลแขวงเขตกลางได้ออกกฎหมายว่าด้วยสิทธิและความชอบธรรมในการประกอบพิธีตามความเชื่อของชาวยิวไซออนิสต์ภายในมัสยิดอัลอักซอ
03/01/1191 สมาชิกของ “Mount Sinai Temple” พร้อมด้วยบาทหลวง Moshe Shifel เข้ามัสยิดอักซอ และผู้บัญชาการทหารหลายคนได้มีการเคลื่อนไหว ถือธงของระบอบการปกครองอิสราเอล และถือคัมภีร์โตราห์โดยตั้งใจจะทำพิธีการของลัทธิไซออนนิสม์ในมัสยิดอักซอ
02/03/1993 หัวหน้ากลุ่ม Temple Mount Mountains ซึ่งนำโดย Gharongsun Salam เข้ามัสยิดเพื่อประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของยิว
24/02/1982 กลุ่มคนติดอาวุธสุดโต่งชาวยิวพยายามที่จะเข้าไปในมัสยิดหลังจากเผชิญหน้ากับผู้คุมประตู “ซิลซิละฮ์” และทำให้มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตสองคน
11/04/1982 หนึ่งในทหารระบอบอิสราเอล ได้เข้ามาถึงมัสยิด และทำการกราดยิงอย่างไร้เป้าหมาย ทำให้ชาวปาเลสไตน์สองคนเสียชีวิตและบาดเจ็บกว่า 60 คน
23/05/1988 กลุ่ม Mount Patrol Department ประมาณ 20 คน พร้อมกับกองกำลังทหารของรัฐเถื่อนอิสราเอลเข้าสู่มัสยิด
08/09/1989 เป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการที่กลุ่มของยิวไซออนิสสุดโต่งได้ประกอบพิธีกรรมทางเข้ามัสยิด
19/09/1990 กลุ่มชาวยิวสุดโต่ง ได้เข้าไปในมัสยิดอักซอ ในช่วงปีใหม่ฮีบรูเพื่อเฉลิมฉลอง
01/28/1990 กลุ่มชาวยิวสุดโต่งราว 10 คน เข้ามาในมัสยิดและสวดมนต์และประกาศคำขวัญต่อต้านอิสลาม
02/04/1992 ชาวยิวจำนวน 50 คน ชุมนุมกันอยู่หน้าประตูทางเข้ามัสยิดและตะโกนคำขวัญต่อต้านอิสลามเรียกร้องให้มีการทำลายมัสยิดอัล – อักซอและบูรณะโบสถ์โซโลมอน
ทั้งนี้ยังมีอีกหลายเหตุการในลักษณะเช่นเดียวกันนี้เกิดขึ้นมากมายและอย่างต่อเนื่อง จวบจนถึงในปัจจุบัน..
Source: iuvmpress.com