“นับตั้งแต่สงครามในเดือนตุลาคม ปี 1973 วอชิงตันได้ให้การสนับสนุนแก่อิสราเอล ในระดับที่เหนือกว่าจำนวนที่ให้ไว้แก่รัฐอื่นเป็นอย่างมาก อิสราเอลเป็นผู้รับทุนรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่ง ที่ได้รับความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจ และการทหารจากสหรัฐฯเป็นรายปี นับตั้งแต่ปี 1976 และเป็นผู้รับทุนจำนวนมหาศาลที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง จำนวนเงินที่สหรัฐฯให้ความช่วยเหลือโดยตรงแก่อิสราเอลมีมูลค่ามากกว่า 140 พันล้านเหรียญ ในปี 2003 อิสราเอลได้รับความช่วยเหลือจากทุนสนับสนุนต่างประเทศโดยตรง ประมาณ 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯในแต่ละปี ซึ่งคิดเป็นประมาณหนึ่งในห้าของงบประมาณช่วยเหลือต่างประเทศทั้งหมดของอเมริกา เมื่อคำนวณเป็นรายหัว สหรัฐฯได้ให้เงินอุดหนุนโดยตรง แก่พลเมืองอิสราเอล ประมาณ 500 ดอลลาร์ต่อปี การบริจาคครั้งนี้ เป็นเรื่องน่าทึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อตระหนักว่า อิสราเอลขณะนี้ เป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ร่ำรวย ด้วยจำนวนรายได้ต่อพลเมืองหนึ่งคน เท่ากับประเทศเกาหลีใต้ หรือสเปน”
– John J. Mearsheimer และ Stephen M. Walt จากหนังสือ
“The Israel Lobby and U.S. Foreign Policy” (การล็อบบี้ของอิสราเอล และนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ) [1]
ตามรายงานระบุว่า สหรัฐฯให้เงินจำนวน 3.1 พันล้านดอลลาร์แก่อิสราเอล สำหรับปีงบประมาณ 2017 (Fiscal Year 2017) ในการช่วยเหลือทางทหารแบบทวิภาคีโดยตรง (เรียกอีกอย่างว่า การจัดหาเงินกู้ยืมเพื่อการทหารต่างประเทศ Foreign Military Financing หรือ FMF)
สภาคองเกรส เช่นเดียวกัน ได้อนุมัติเงินกว่า 600.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับโครงการป้องกันขีปนาวุธ “ร่วม” ของสหรัฐ และอิสราเอล (ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อป้องกันดินแดนอิสราเอลจากภัยคุกคามภายนอกที่อาจเกิดขึ้น) โครงการนี้ ได้นำความช่วยเหลือทางทหารมาสู่อิสราเอลทั้งสิ้นเป็นจำนวน 3.7 พันล้านเหรียญต่อปี
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผู้เสียภาษีชาวอมเริกันได้ให้เงินแก่อิสราเอลเป็นจำนวนทั้งสิ้น 10.1 ล้านเหรียญดอลลาร์ต่อวัน
ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯได้ค่อยๆลดความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจให้แก่อิสราเอล และค่อยๆเปลี่ยนเป็นการให้ความช่วยเหลือด้านการทหารที่เพิ่มขึ้นแทน
ในเดือนกันยายนปี 2016 รัฐบาลสหรัฐอเมริกา และประเทศอิสราเอลได้ลงนามในเอกสารหรือหนังสือที่เก็บบันทึกข้อตกลง หรือ ข้อตกลงที่จะร่วมมือระหว่างสองฝ่าย (MOU) สิบปีฉบับใหม่ ซึ่งสหรัฐฯให้คำมั่นว่า จะมอบเงินช่วยเหลือทางทหารจำนวน 38 พันล้านเหรียญสหรัฐ (33,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯในทุนสนับสนุน FMF และบวกเพิ่มอีก 5 หมื่นล้านดอลลาร์สำหรับโครงการป้องกันขีปนาวุธ) ภายในระยะเวลา 10 ปี (ปีงบประมาณ 2019 ถึงปีงบประมาณ 2028)
ข้อตกลง MOU ฉบับใหม่นี้ จะแทนที่ข้อตกลงระยะเวลา 10 ปี มูลค่าปัจจุบันที่ 30 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งลงนามโดยรัฐบาลบุชซึ่งจะหมดอายุลงในปี 2018
จนถึงปัจจุบันนี้ อิสราเอลเป็นประเทศที่ได้รับความช่วยเหลือทางทหารในต่างประเทศของสหรัฐฯ มากที่สุด (เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น) ตามรายงานของสำนักงานวิจัยของรัฐสภาคองเครสแห่งสหรัฐฯ (CRS) ระบุว่า คำเรียกร้องของประธานาธิบดีอิสราเอล เพื่อปีงบประมาณ 2017 จะครอบคลุมประมาณ 54% ของการจัดหาเงินทุนสนับสนุนแก่ต่างประเทศทั้งหมดของสหรัฐฯทั่วโลก
รายงานยังกล่าวต่อไปว่า “การจัดหาทุนทางทหาร FMF ประจำปี ที่มอบให้แก่อิสราเอล คำนวนได้ประมาณ 18.5% ของงบประมาณการป้องกันอิสราเอลโดยรวม รายจ่ายด้านการป้องกันประเทศของอิสราเอล คิดเป็นอัตราของ GDP – ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (5.4% ในปี 2015) ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดในโลก”
ในทางตรงกันข้ามกับนโยบายปกติทั่วไปของสหรัฐฯ – อิสราเอลได้รับและยังคงได้รับอนุญาตให้ใช้จ่ายประมาณ 26% จากความช่วยเหลือทางทหารโดยสหรัฐฯ ในการซื้ออุปกรณ์จากผู้ผลิตชาวอิสราเอลเอว ตามที่ระบุใน CRS ชี้ว่า “ไม่มีผู้รับทุนรายอื่น ที่ได้รับความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐฯ มีอภิสิทธิ์ได้รับผลประโยชน์นี้”
ต้องขอบคุณ ส่วนหนึ่งของเงินอุดหนุนทางอ้อมของสหรัฐฯนี้ ที่ส่งผลทำให้อุตสาหกรรมอาวุธของอิสราเอลเป็นหนึ่งในอุตสาหรกรรมอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ระหว่างปี 2001 ถึง ปี 2008 อิสราเอลเป็นผู้จัดจำหน่ายอาวุธที่ใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก โดยขายอาวุธยุทโธปกรณ์เป็นจำนวนมูลค่า 9.9 พันล้านเหรียญ และยังคงเติบโตแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2015 อิสราเอลได้ขายสินค้าทางทหารของตนเป็นมูลค่า 5.7 พันล้านเหรียญ ไปยังประเทศอื่น ๆ
อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่ปี 2007 ถึงปี 2009 ตั้งคำถามว่า “มันช่างเป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้ เมื่อเรากำลังแข่งขันกับอิสราเอลในตลาดการจัดหาอาวุธของอินเดีย แต่ในขณะเดียวกัน เราเองก็ให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมการป้องกันของอิสราเอล?”
แหล่งข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐฯประมาณการว่า อิสราเอลใช้เงินประมาณ 1.2 พันล้านเหรียญต่อปี (38.7% ของความช่วยเหลือที่ได้รับจากสหรัฐฯ) เพื่อ “สนับสนุนงบประมาณในประเทศของตนโดยตรง แทนที่จะสร้างคลังแสงแห่งอุปกรณ์ขั้นสูงของสหรัฐฯ”
สหรัฐฯยังได้ร่วมสบทบทุน ให้กับโครงการป้องกันขีปนาวุธ ร่วมสหรัฐ – อิสราเอล ที่ถูกออกแบบมาเพื่อสกัดกั้นขีปนาวุธระยะสั้น และจรวดที่ถูกยิงโดยตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐ (Non-state actors เช่นฮามาสและฮิซบุลลอฮ์) เช่นเดียวกับป้องกันขีปนาวุธทิ้งตัวพิสัยกลาง และพิสัยไกล (หมายถึงอิหร่าน และ / หรือคลังแสงของซีเรีย)
Arrow II (ที่ 2) และ Arrow III (ที่ 3) สลิงของเดวิด และโดมเหล็ก หมายถึงโครงการต่างๆภายใต้ร่มโครงการป้องกันขีปนาวุธนี้ สำหรับปี 2017 สภาคองเกรสได้อนุมัติเงินจำนวน 600.7 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีแนวโน้มอาจให้เงินจำนวน 705 ล้านเหรียญ สำหรับปีงบประมาณ 2018 (โดยผ่านทางสภา เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2017 ที่ผ่านมา)
คิดจากบัญชีทั้งหมด สรุปได้ว่า สหรัฐอเมริกาได้ให้เงินแก่อิสราเอลมากกว่าประเทศอื่น ๆ การคาดประมาณการที่คอนเอียงไปในทางต่ํา (conservative estimate) ของสำนักงานวิจัยของรัฐสภาสหรัฐฯ (CRS) ระบุว่า การให้ความช่วยเหลือของสหรัฐฯ แก่อิสราเอล ตั้งแต่ปี 1949 ถึง ปี 2015 มีมูลค่ารวม 127.4 พันล้านดอลลาร์ (ยังไม่ได้ถูกปรับ สำหรับอัตราเงินเฟ้อ)
รายงานโดย Washington Report ฉบับเดือนตุลาคม 2013 ว่าด้วยเรื่อง “การคาดประมาณการที่คอนเอียงไปในทางต่ํา (conservative estimate) สำหรับการช่วยเหลือโดยตรงของสหรัฐฯที่มีต่ออิสราเอล: 130 พันล้านดอลลาร์” โดย Shirl McArthur – ทำให้ยอดสะสมพุ่งสูงขึ้น
ตามที่ McArthur ระบุ “ค่าใช้จ่ายทางอ้อม หรือ ค่าเสียหายสืบเนื่อง ของผู้เสียภาษีอากร ชาวอเมริกันอันเป็นผลจากการที่วอชิงตันได้ให้การสนับสนุนแก่อิสราเอลอย่างหน้ามืดตามัว ได้ขยายเกินขอบเขตจำนวนเงินสนับสนุนโดยตรงของสหรัฐฯแก่อิสราเอลกว่าหลายเท่า
บางส่วนจาก “ค่าใช้จ่ายทางอ้อม และค่าความเสียหายสืบเนื่อง” เหล่านี้ ยังรวมถึงค่าความสูญเสียสำหรับผู้ผลิตชาวอเมริกันในการคว่ำบาตรของชาวอาหรับ ค่าใช้จ่ายของบริษัทสหรัฐฯและผู้บริโภค สำหรับการห้ามค้าน้ำมันอาหรับ และราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น อันเป็นผลมาจากการที่สหรัฐสนับสนุนอิสราเอลในสงคราม ปี1973 และค่าความสูญเสียสำหรับการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯเพียงฝ่ายเดียว ต่อประเทศอิหร่าน อิรัก ลิเบีย และซีเรีย (เกี่ยวกับประเด็นค่าความสูญเสีย สามารถค้นคว้าเพิ่มได้ที่ ‘The Costs to American Taxpayers of the Israeli-Palestinian Conflict: $3 Trillion,’ เขียนโดย Thomas R. Stauffer ผู้ล่วงลับ กรกฎาคม 2003 Washington Report, p. 20.) [2]
ตามรายงานระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯไม่เคยให้ความช่วยเหลือแก่ชาวปาเลสไตน์ด้วยความช่วยเหลือทางทหาร “ข้อกฎหมาย โดยกระทรวงกลาโหม ปี 2015 (HR 4870) ซึ่งได้มีการออกแถลงการณ์ และผ่านรัฐสภาในเดือนมิถุนายน 2014 มีบทบัญญัติ ที่จะห้ามมิให้เงินทุน ที่สามารถใช้ได้จากข้อกฎหมายดังกล่าว ผูกมัดกับกลุ่มองค์การบริหารปาเลสไตน์ หรือ PA (มาตรา 10033) หรือ ห้ามมิให้นำเงินนั้นไปใช้ สำหรับการถ่ายโอนอาวุธ ไปยังกลุ่มองค์การบริหารปาเลสไตน์ PA (มาตรา 10024) “
การช่วยเหลือชาวปาเลสไตน์ส่วนใหญ่ ได้ถูกออกแบบเพื่อนำไปใช้ สำหรับนโยบายให้ดูแลประชาชนของตน รวมถึงความต้องการด้านมนุษยธรรม และการพัฒนา (ไม่ใช่ทางทหาร) กองทุนเหล่านั้น จะได้รับอนุมัติเฉพาะ เมื่อสภาคองเกรสได้รับหลักฐานยืนยันว่า เงินเหล่านั้นจะถูกนำไปใช้ “สนับสนุนด้านอาวุธที่ไม่ร้ายแรง” คำเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากปาเลสไตน์ทั้งหมดสำหรับปีงบประมาณ 2017 คือ 362.6 ล้านดอลลาร์ รายงานระบุว่า กระทรวงการต่างประเทศกำลังแสวงหาเงินจำนวน 215 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือชาวปาเลสไตน์ด้านเศรษฐกิจ สำหรับปีงบประมาณ 2018
องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) ได้ให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจโดยอ้อมแก่ชาวปาเลสไตน์ ผ่านทางกองทุนที่แจกจ่ายให้แก่องค์กรพัฒนาเอกชน ที่ดำเนินงานในเวสต์แบงก์ และกาซ่า
ตามรายงานของ CRS ระบุว่า “กองทุนที่ได้รับการจัดสรรในโครงการนี้ มีไว้สำหรับโครงการในภาคส่วนต่างๆ เช่น การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การพัฒนาทางเศรษฐกิจ การปฏิรูปประชาธิปไตย การพัฒนาเพื่อเข้าถึงแหล่งน้ำ และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ การดูแลสุขภาพ การศึกษาและการฝึกอบรมด้านอาชีพ” ทั้งนี้โปรแกรมนี้อยู่ภายใต้กระบวนการตรวจสอบและการตรวจสอบประจำปี …
สหรัฐอเมริกายังให้เงินช่วยเหลือองค์กรช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่าแห่งสหประชาชาติ ย่อมาจาก The United Nations Relief and Works Agency for Palestine Refugees in the Near East (UNRWA)” ซึ่ง ได้ให้อาหาร ที่พักพิง การดูแลทางการแพทย์ และการศึกษา สำหรับผู้อพยพชาวอาหรับจำนวนมาก ตั้งแต่ปี 1947- จนถึงปี 1949 สำหรับผู้ลี้ภัยสงครามอาหรับ-อิสราเอล และครอบครัวของพวกเขา ซึ่งปัจจุบันประกอบไปด้วย ชาวปาเลสไตน์ประมาณ 5 ล้านคน ในประเทศจอร์แดน ซีเรีย เลบานอน เวสต์แบงค์ และกาซา ” จำนวนเงินที่จัดสรรโดยรัฐบาลสหรัฐฯในปีงบประมาณ 2014 คือ 250.9 ล้านเหรียญ (อ่านเพิ่ม เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์)
ผู้เชี่ยวชาญชาวปาเลสไตน์กล่าวว่า การช่วยเหลือผู้มีอำนาจในปาเลสไตน์โดยสหรัฐฯ อันที่จริงแล้ว เป็นการ “ช่วยเหลืออิสราเอล ให้สามารถยึดครองดินแดนปาเลสไตน์ไว้อย่างผิดกฎหมาย”
เนื่องจาก “การรักษาความปลอดภัยร่วมกัน” ระหว่าง PA กับอิสราเอล ให้ความหมายว่า ตำรวจปาเลสไตน์กำลังถูกจ้างมา เพื่อตรวจสอบและตอบสนองไปยังชาวปาเลสไตน์ ที่ต่อต้านการยึดครองของอิสราเอล หรือประท้วงต่อต้านการโจมตีของอิสราเอลในฉนวนกาซ่า
นอกจากนี้ “ประมาณ 50 ล้านเหรียญ จากความช่วยเหลือยของสหรัฐฯให้ชาวปาเลสไตน์ ยังไม่ถูกส่งตรงไปยัง PA แต่ไหลไปยังอิสราเอลแทน ซึ่งอิสราเอลได้ใช้เงินส่วนหนึ่งในจำนวนนี้ ชำระหนี้ของชาวปาเลสไตน์ให้กับผู้ให้บริการอิสราเอล เช่น บริษัทไฟฟ้า เป็นต้น
การช่วยเหลือของสหรัฐฯไปยัง PA ยังช่วยทำให้อิสราเอลเสียเงินของตนน้อยลง โดยเป็นเงินจากทุนสนับสนุนของสหรัฐฯ ในการรักษาความปลอดภัย สำหรับการตั้งถิ่นฐานของชาวยิวเท่านั้น ที่ถูกสร้างขึ้นบนดินแดนปาเลสไตน์ที่ตนยึดครอง อันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ
การวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่า อย่างน้อย 78% ของเงินช่วยเหลือระหว่างประเทศไปยังเวสต์แบงก์ และฉนวนกาซา จะไปสิ้นสุดลงในกระเป๋า (เศรษฐกิจ)ของอิสราเอล
____
อ้างอิง:
[1] The Congressional Research Service’s report “U.S. Foreign Aid to Israel,” written by Jeremy M. Sharp, Specialist in Middle Eastern Affairs, dated December 22, 2016.
[2] The Congressional Research Service’s Report “U.S. Foreign Aid to the Palestinians”, written by Jim Zanotti, Analyst in Middle Eastern Affairs, dated December 16, 2016.
Source: ifamericaknew.org