เรื่องแบบนี้คงเห็นได้เฉพาะบะห์เรนเท่านั้น การละหมาดในมัสยิดที่ถูกรื้อทิ้งไปแล้วถือเป็นความผิดทางอาญา โดยขณะประชาชนได้ไปละหมาดในมัสยิดแห่งหนึ่งที่ถูกทำลายไปแล้วที่มีชื่อว่า “อัลบัรบะกีย์” หน่วยงานรัฐได้ทำการกีดกันและห้ามปราม
สถานี อัล-อะลัม รายงาน ในวันจันทร์ 24 กุมภาพันธ์ สถานที่มัสยิด อัลบัรบะกี ได้ถูกปิดล้อมเมื่อสองเดือนก่อน ซึ่งมีกองกำลังรักษาความปลอดภัยคอยรักษาพื้นที่อยู่โดยรอบพร้อมกับกั้นลวด หนามรายรอบมัสยิด และมีการห้ามปรามการเข้าไปละหมาดในสถานที่แห่งนั้น ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อจะทำลายมัสยิดแห่งนี้ และให้ไปสร้างมัสยิดหลังใหม่ขึ้นในอีกที่หนึ่ง ซึ่งการกระทำเช่นนี้ทำให้เกิดผู้ไม่พอใจและสร้างความโกรธเคืองให้แก่ประชาชน ต่อคอลีฟะฮ์อย่างกว้างขวาง
ฉันทา มติได้มีการประกาศออกมาว่า : การจับกุมผู้คนด้วยสาเหตุที่เขายืนยันจะทำการละหมาดในมัสยิดในประวัติศาสตร์ “อะมีรมูฮัมมัดอัลบัรบะกี” โดยถือว่าพิธีกรรมทางศาสนา และ อิสระในความศรัทธาของประชาชนมาทีหลังถือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
และ ยังได้กล่าวเสริมอีกว่า : เนื่องจากมัสยิดแห่งนี้ที่รัฐบาลได้ทำลายลงไปนั้น มีอายุยืนยาวมากว่า 400 ปี และเช่นเดียวกันรัฐบาลของผู้ปกครองคาลีฟะฮ์ ในปี 2011 ได้มีการทำลายมัสยิดลงถึง 38 แห่งด้วยกัน
เหล่า ประชาชนข้างต้นเป็นสื่อเตือนให้เห็นว่า,ผลของการปิดล้อมสถานที่สำคัญทาง ประวัติศาสตร์อิสลาม และที่เลวร้ายที่สุดคือการทำลายสถานที่เหล่านั้น และการกระทำเช่นนี้คือการประกาศถึงการเป็นศรัตรูกับอิสลามอันบริสุทธิ์ องค์การระหว่างประเทศ,องค์กรสิทธิมนุษยชน,สหประชาชาติ ก็ได้มีการสั่งการผ่านตัวแทนกรรมาธิการสูงสุดขององค์กรมนุษยชนในการเดินทาง ไปยังประเทศบะห์เรน เพื่อสังเกตการอย่างใกล้ชิดถึงรูปแบบการแก้แค้นของประชาชน และทำการตรวจสอบถึงการเรียกร้องให้เปลี่ยนระบบประชาธิปไตยในบะห์เรนจนนำไป สู่การทำลายสถานที่ต่างๆ
ประชาชน มีมติอย่างเป็นเอกฉันท์ ให้หยุดการเคลื่อนไหวเช่นนี้ เนื่องจากการกระทำเช่นนี้เป็นบ่อเหตุของการเกลียดชัง เนื่องจากมัสยิดต่างๆนั้น มีความสัมพันธ์กับพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งสถานที่ศักดิ์สิทธิเหล่านี้ได้มีอยู่ก่อนจะเกิดการปกครองที่มีขึ้นใน ปัจจุบันเสียอีก และมันจะเป็นบ่อเกิดความปรปักษ์ขึ้นในสังคม