ความแตกต่างระหว่างปฏิบัติการของ ”ตุรกี” ในอาฟริน และการโจมตีของ “อิสราเอล” ในปาเลสไตน์ ?

366

Robert Fisk นักวิเคราะห์ข่าว ที่มีชื่อเสียงของหนังสือพิมพ์ The Independent ในรายงาน ภาคสนาม ได้เขียนบทความชิ้นหนึ่ง เพื่อเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจากการโจมตีของตุรกี ในเมืองอาฟริน ซึ่งได้แก่ คนชรา เด็ก เยาวชน และสตรี ทั้งนี้เขายังได้ตั้งข้อสังเกตว่า ปฏิบัติการดังกล่าว ไม่มีความแตกต่างใดๆ กับการโจมตีของอิสราเอลที่มีต่อชาวปาเลสไตน์

ในรายงานที่เขาได้เดินทางไปยังเขตพื้นที่อาฟริน ซีเรีย Robert ได้ตำหนิตุรกี เกี่ยวกับการเปิดตัวแคมเปญทหารทางอากาศอย่างมืดบอด ต่อพลเรือนในภูมิภาคนี้ว่า เหมือนกับการโจมตีของยิวไซออนิสต์ต่อชาวปาเลสไตน์

ในช่วงต้นของรายงาน Robert ได้บรรยายถึงการเดินทางไปยังบ้านของครอบครัวเหยื่อรายหนึ่ง ซึ่งเป็นชาวเมืองมุอฺบาฏาห์อาศัยอยู่ใน Arifin ขณะที่สมาชิกในครอบครัวทั้งหมด ได้แก่ Taha Mustafa Al-Khatri วัย 40 ปี และภรรยา Amineh ของเขาในวัยเดียวกัน พร้อมกับลูกสาวสองคนของพวกเขาคือ Zakia และ Safa และลูกชาย Solaiman ได้เสียชีวิต โดยมีเพียง Safa คนเดียวที่รอดชีวิตมาได้จากการโจมตีทางอากาศของตุรกี ที่ได้กำหนดเป้าหมายไปยังบ้านของพวกเขาในชนบทแห่งหนึ่ง

รองเท้าพลาสติก ที่หลงเหลือ อยู่หน้าบ้านพักของสมาชิกครอบครัว Al-Khathir ภายหลังจากที่พวกเขาได้เสียชีวิตลง อันเนื่องมาจากการโจมตีของตุรกี

เขาเขียนว่า : หลังจากที่ทหารเติรก์ได้กำหนดเป้าหมายโจมตีเมือง อาฟริน โดยอ้างเหตุผลเพื่อการปราบปรามกลุ่มชาวเคิร์ด หรือ ผู้สนับสนุนของกลุ่มก่อการร้าย ภายใต้ชื่อ “ปฏิบัติการกิ่งมะกอก” – ความเกลียดชังต่อประชาชนในพื้นที่ก็เพิ่มมากขึ้น  หมู่บ้านแห่งหนึ่งในบริเวณนี้ชื่อว่าหมู่บ้านมุอฺบาฏาห์  เป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเรื่องของ  “ต้นมะกอก” ได้ถูกโจมตี แม้จะเป็นหมู่บ้านที่มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างปะปน ทั้งชาวอาหรับ เคิร์ด และอาละวี การกระทำดังกล่าวได้นำไปสู่การเสียชีวิตของผู้บริสุทธิ์มากมาย

ซากปรักหักพังของบ้านที่อยู่อาศัยของครอบครัวผู้อพยพชาวอาหรับ 4 ราย ที่ได้เสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศของตุรกี ในเมืองมุอบาฏา

ทั้งนี้ ลุงของ Taha ซึ่งได้ให้ที่อาศัยแก่ครอบครัว Al-Khathri ที่เดิมเป็นชาวอาหรับและผู้ลี้ภัยจากหมู่บ้าน Tel-e-Khor  ไม่ใช่ชาวเคริด์แต่อย่างใด – ได้เดินทางไปยังโรงพยาบาล Afrin เพื่อประสานกิจการต่างๆ ในการนี้ Dr. Jawan Pallot ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ผู้ซึ่งรู้ดีว่าหนังสือพิมพ์ The Independent เป็นสื่อตะวันตกเจ้าแรกที่ได้เตรียมการทำรายงานภาคสนาม นับตั้งแต่ตุรกีเรื่มต้นปฏิบัติการต่างๆในอาฟริน  ได้ให้สัมภาษณ์กับ Robert โดยย้ำว่า “เมื่อคุณมาที่โรงพยาบาลของเรา คุณจะได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น คุณควรจะเห็นศพและสภาพของผู้บาดเจ็บที่ถูกส่งมาที่นี่ รวมถึงภาพชิ้นส่วนร่างกายที่แหลกเหลว”

เขาได้เล่าว่า ห้องพักของโรงพยาบาลเป็นที่พักของเหล่าผู้รอดชีวิตจากการโจมตีของตุรกีที่มีต่อกลุ่ม “ผู้ก่อการร้าย” ใน Arifin   ขณะที่ในห้องหนึ่งมี  Mohammad Hussein อายุ 58 ปี ชาวนาจากพื้นที่ Jundires เป็นผู้ได้รับบาดเจ็บและมีบาดแผลที่ศีรษะ จากหลังคาบ้านของเขาที่พังทลายลงมาในการโจมตีทางอากาศของตุรกีในวันที่ 22 มกราคม 2018  ซึ่งเขาตกอยู่ในสภาพปางตาย

Mohammed Hussein ชาวนา วัย 58 ปี

ในอีกห้องหนึ่งมี Ahmed Kindi อายุ 50 ปี ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากที่พยายามจะเอาครอบครัวออกจากหมู่บ้าน ภายหลังจากตุรกีเปิดฉากปฏิบัติการโจมตีในเมือง Afrin เมื่อวันที่ 20 มกราคม

Dr. Jawan Pallot ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกล่าวว่าในพื้นที่ดังกล่าวไม่มีกลุ่มผู้ก่อการร้ายหรือกลุ่มติดอาวุธใดๆเลยสักคนเดียว

Robert เขียนอีกว่า  : มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาอยู่ที่นั่นด้วย ? หรือมันเป็นเพียงข้ออ้างในการปราบปรามผู้ก่อการร้าย ที่ไม่คำนึงถึงความทุกข์ทรมานและความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะ Guard Seido เด็กหนุ่ม อายุ 15 ปี จากหมู่บ้าน Adamo ซึ่งต้องได้รับบาดเจ็บและ Musa Khawash วัย 20 ปีที่ทำงานในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ของครอบครัวในพื้นที่ Maryam ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส จากปฏิบัติการทิ้งระเบิดของเครื่องบินรบตุรกีในช่วงกลางวันแสกๆ ซึ่งได้โจมตีอาคารดังกล่าว ทำให้สมาชิกครอบครัวของเขาจำนวน 8 ราย ต้องเสียชีวิตคาที่ ?  จากนั้นเขาจึงถูกส่งมายังโรงพยาบาลในสภาพที่สะบัดสะบอม โดยมีแผลฉีกขาดตรงหน้าอก และยังฝืนทนด้วยการเผยยิ้มให้กับนายแพทย์ Palot แม้ว่าเขาเองจะยังไม่รู้ว่า พี่ชายของเขาเสียชีวิตหรือรอดชีวิตจากเหตุการณ์ถูกโจมตีครั้งนี้

Robert กล่าวว่า  เรื่องเล่าเกี่ยวกับการสังหารของตุรกีที่ดำเนินการในครั้งนี้ มันเป็นเรื่องที่อดสูและเศร้าสลดมาก รวมถึงการสังหารพลเรือน 34 คนที่ถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาล Afrin เช่นกันเป็นเรื่องที่น่าสลดใจเป็นอย่างยิ่ง

ฝูงบินรบของตุรกีกว่า 70 ลำ ได้ทำการทิ้งระเบิดโจมตีตำแหน่งของหน่วยอาสาสมัครปกป้องพลเรือนชาวเคิร์ด เมื่อวันที่ 21 มกราคม  ในทางตอนเหนือของซีเรีย

สำนักข่าว Anatolian ของตุรกีรายงานว่าตุรกีได้กำหนด “เป้าหมาย” มากกว่า 100 จุด  แม้แต่ “สนามบิน” ในวันแรกของการปฏิบัติการกิ่งมะกอก โดยที่การโจมตีดังกล่าวในเบื้องต้น มุ่งเป้าไปที่ “ค่าย, สถานที่หลบซ่อนตัว, คลังอาวุธ, ยานพาหนะและอุปกรณ์ต่างๆ” ของหน่วยอาสาสมัครปกป้องพลเรือนชาวเคิร์ด

Robert ได้สรุปรายงานภาคสนาม ว่า : เมื่อฉันเดินผ่านห้องของผู้ป่วยในโรงพยาบาล Afrin ฉันคิดกับตัวเองว่า “ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับการทิ้งระเบิดของเครื่องบินรบเช่นนี้มาก่อนหรือ ? เรื่องราวเช่นนี้หรือไม่ ที่มันเกิดขึ้นในการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลต่อ “ผู้ก่อการร้าย” ในภาคใต้ของเลบานอน ? เรื่องราวเช่นนี้ไม่ใช่หรือ ที่เกิดขึ้นในช่วงการโจมตีทางอากาศของนาโต้ต่อ “เซอร์เบีย” ในอดีตของยูโกสลาเวีย  หรือเมื่อครั้งที่สหรัฐฯได้โจมตี “กองกำลังอิรัก” ในปี 1991 และ2003  และโจมตี “กองกำลังฝ่ายศัตรู” ในอัฟกานิสถานและเมื่อปีที่แล้วในเมืองโมซูล ?“

เห็นได้ชัดว่าการดำเนินการทั้งหมดนี้ มีโฆษณาชวนเชื่อที่กำชับให้มัน “ถูกต้องแม่นยำ ตรงเป้าหมายที่สุด ” และพยายามอย่างรอบคอบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิด “ความเสียหายทางชีวิตของผู้บริสุทธิ์ ” แต่ในท้ายสุดท้ายแล้ว ความเท็จก็ถูกเปิดเผย มันหนีไม่พ้น การโจมตีดังกล่าว ทำให้ประชาชนนับสิบหรือหลายร้อยหรือหลายพันรายต้องเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ…..

 

Source: The Independent

ภาพถ่ายโดย: Yara Ismail