(ต่อจากตอนที่ 1) ประหนึ่งว่าทุกๆการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง จะนำไปสู่ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเลบานอน สิ่งนี้จึงนำพาเรากลับไปสู่คำถามแรก ในตอนเริ่มต้นของบทความชิ้นนี้ (ในตอนที่ 1 คลิก) คือ “มันมีข้อตกลงอะไรกันแน่เกี่ยวกับเลบานอน?”
คำตอบสำหรับคำถามนี้ ย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของอิสราเอล บรรดาผู้ก่อตั้งไซออนิสต์ ได้สถาปนาดินแดนอิสราเอลขึ้นมา โดยการแย่งชิง และฆ่าล้างเผ่าพันธ์กว่าสามส่วนของชาวอาหรับปาเลสไตน์นับล้านชีวิตในปี 1948
หลายแสนชีวิตจากกลุ่มคนเหล่านี้ได้ถูกขับไล่ (บางครั้งด้วยรถบรรทุก บ้างก็ด้วยกองกำลังทหารติดอาวุธ) ไปยังเลบานอน ที่ซึ่งพวกเขารวมกลุ่มกันอาศัยอยู่ ณ ค่ายผู้อพยพอย่างแร้นแค้น
ผู้อพยพชาวปาเลสไตน์ที่หนีตายมายังเลบานอน ยังคงเผชิญความทุกข์ทรมานจากรัฐที่แบ่งแยกเชื้อชาติอย่างเข้มงวด เกือบจะพอๆกับชาวปาเลสไตน์ที่เหลืออยู่ภายใต้การบังคับโทษของอิสราเอล เพราะอิทธิพลของคริสเตียนนิกายมาโรไนท์ ณ ที่นั่น ซึ่งคอยคุ้มกัน อภิสิทธิ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจของตนในะบอบการปกครองแบบ Confessional System ที่เป็นการปกครองโดยกำหนดตำแหน่งทางการเมืองตามกลุ่มศาสนาต่างๆในประเทศของเลบานอนอย่างเหนียวแน่น
หมายเหตุ: ประเทศเลบานอนได้กำหนดวิธีการปกครองแบบ Confessionalism มา 75 ปีแล้ว ตั้งแต่ได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ. 2486 โดยกำหนดว่า
1) ประธานาธิบดี ผู้เป็นประมุขของประเทศ จะต้องเป็นชาวคริสเตียนนิกายมาโรไนท์
2) ประธานสภาผู้แทนราษฎร (มีสภาเดียว) จะต้องเป็นมุสลิมชีอะฮ์
3) นายกรัฐมนตรี ผู้เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร จะต้องเป็นมุสลิมซุนนี่
การสู้รบในปี 1967 ทำให้อิสราเอลพิชิตกองทัพอาหรับ จากหลายประเทศในเวลา 6 วัน- ผลจากการรุกรานของอิสราเอลในครั้งนี้ นำไปสู่การผนวกรวมเขตแดนเวสท์แบงก์ เข้ากับฉนวนกาซ่า และจัดตั้งให้ชาวปาเลสไตน์อาศัยอยู่ที่นั่น ภายใต้การยึดครองทางทหารอย่างทารุณ ซึ่งเห็นได้จากลักษณะการแย่งชิง ปล้นสะดม ที่สลับสับเปลี่ยนกับการโจมตี ฆ่าล้างมวลชนอย่างต่อเนื่อง
โศกนาฎกรรมและความทุกข์ทรมานที่ผสมผสานเข้าด้วยกันของชาวปาเลสไตน์ บีบคั้นพวกเขาไปสู่ความสิ้นหวัง และการใช้ความรุนแรง ผลของมันทำให้พวกเขาเลือกเอา นายยัสเซอร์ อาราฟัต พร้อมกับการขับเคลื่อนแบบกองโจรของเขา ขึ้นสู่การชี้นำองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ (PLO) และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่จอร์แดน
แต่แล้วเมื่อกษัตริย์จอร์แดนกระทำการสังหารหมู่ และขับไล่ PLO นายอาราฟัต และสมาชิกที่เหลือจึงย้ายถิ่นฐานใหม่ โดยการไปปักหลักอยู่ในเลบานอนแทน
มีการก่อสงครามกองโจร ในความพยายามขับไล่อิสราเอลออกจากดินแดนที่ยึดครอง องค์กร PLO ได้ทำการชักจูงผู้คนเพื่อการคัดเลือกกองกำลังอย่างแข็งขันในค่ายผู้อพยพต่างๆในเลบานอน
สิ่งนี้ชักนำอิสราเอลไปสู่การแทรกแซงกิจการในเลบานอนอย่างเข้มข้น ในปี 1976 อิสราเอลเริ่มต้นกองกำลังทหาร เพื่อสนับสนุนชาวคริสเตียนนิกายมาโรไนท์ เพื่อช่วยเติมเชื้อเพลิงให้แก่สงครามกลางเมืองระหว่างศาสนา-นิกาย ที่ซึ่งมันเพิ่งเริ่มต้นขึ้น และจะดำเนินอยู่จนถึงปี 1990 ในปีเเดียวกัน กองกำลังซีเรียเคลื่อนทัพเข้าสู่เลบานอน และสมรู้ร่วมคิดในการทำสงคราม และเริ่มต้นการยึดครองทางทหารภายในประเทศ
ในปี 1978 อิสราเอลรุกรานเลบานอน เพื่อร่นถอยการเคลื่อนไหวของ PLO และจัดตั้ง กองกำลังทหารตัวแทน ซึ่งเรียกว่า กองกำลังเลบาอนใต้ (SLA)
ในปี 1982 อิสราเอลได้เปิดฉากรบในเลบานอนอย่างเต็มรูปแบบ โดยได้ต่อสู้กับทั้ง ซีเรีย และ PLO อุซามะห์ บินลาดิน ในภายหลังอ้างว่า การเห็นซากปรักหักพังของอาคารสูงในกรุงเบรุตถูกโจมตีโดยยุทธวิธี “สงครามเบ็ดเสร็จ” เป็นการสู้รบที่ปราศจากขอบเขต ของอิสราเอล คือ แรงบันดาลใจที่ทำให้เขาทำลายอาคารของอเมริกัน อย่างตึก Twin Towers
ในสงครามครั้งนี้ อิสราเอลได้พยายามติดตั้งกลุ่มลัทธิฟาสซิสต์คริสเตียน ชื่อ Phalange เพื่อให้มีอำนาจเหนือเลบานอน ทว่าแผนการนี้เป็นอันต้องล้มเหลว เมื่อผู้ปกครองกลุ่มใหม่ดังกล่าวถูกลอบสังหาร และเพื่อเป็นการแก้แค้นคืน กลุ่ม Phalange ในความรู้เห็นเป็นใจ และให้การสนับสนุนอย่างลับๆโดยอิสราเอล ได้ดำเนินปฏิบัติการสังหารหมู่ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์นับร้อย (อาจเป็นพัน ๆ ) และประชาชนชีอะฮ์ชาวเลบานอน (ดู Murray Rothbard’s moving contemporary coverage of the atrocity.)
สงคราม เมื่อปี 1982 ของอิสราเอลประสบความสำเร็จ ในการขับไล่ PLO ออกจากเลบานอน แม้ว่าจะไม่สำเร็จในการทำลายล้างองค์กรทั้งหมดก็ตาม และแน่นอน ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์นับร้อยพันคน ยังคงอยู่ในค่ายต่างๆของเลบานอน ในความโหยหาสิทธิในการคืนถิ่นของพวกเขา อันเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถหลบหนีจากการรับรู้ของอิสราเอลได้
บรรดาชีอะฮ์ชาวเลบานอน ขณะกำลังรู้สึกสับสนกับการที่ PLO ถูกขจัดออก ทว่าอิสราเอล กลับเร่งรัดในการบ่อนทำลายการประณีประนอมใดๆก็ตาม ที่พวกเขามีอยู่กับขบวนการเคลื่อนไหวดังกล่าวโดยการยึดครองภาคใต้ของเลบานอนอย่างไร้ความปราณีนานกว่าหลายปี สิ่งนี้นำไปสู่การก่อตั้งขบวนการฮิซบุลลอฮ์ หรือ กองกำลีงชีอะฮ์ ที่ไม่เพียงแต่ให้ความสำคัญกับชะตากรรมของผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์นิกายซุนนี แต่ได้อุทิศตนอย่างแข็งขัน ในการขับไล่อิสราเอลและพร็อกซีอิสราเอล (SLA) ทั้งหมดออกจากเลบานอน
แม้อิสราเอลจะไม่ต้องการให้เราเชื่อเช่นนั้น แต่ฮิซบุลลอฮ์ (สบทบด้วยความช่วยเหลือของซีเรียและอิหร่าน) ได้กลายมาเป็นผู้นำหน่วยป้องกันโดยตรง ที่คอยบ่อนทำลายความพยายามของอิสราเอลในการครอบครองและใช้ประโยชน์จากเพื่อนบ้านทางตอนเหนืออย่างมิชอบ ในปี 1993 และอีกครั้งในปี 1996 (ปีแห่งการจัดทำเอกสาร “A Clean Break”) อิสราเอลยังคงดำเนินปฏิบัติการทางทหารที่สำคัญ ๆ ในเลบานอน โดยหลักแล้ว เพื่อต่อกรกับกองกำลังฮิซบุลลอฮ์ แต่ไม่เพียงเท่านั้น อิสราเอลยังต้องการทำลายล้างประชากรทั่วไป และโครงสร้างพื้นฐานของเลบานอนด้วยการใช้ระเบิด และนอกจากนี้ก็พยายาม ใช้ลัทธิก่อการร้าย เป็นเครื่องมือเพื่อปลุกระดมประชาชน และรัฐบาลกลางในการปราบปรามกองกำลังฮิซบุลลอฮ์
นี่คือบริบทของ “A Clean Break”: ความหลงไหลของอิสราเอลในการทุบทำลายฮิซบุลลอฮ์ และครอบงำเลบานอน แม้มันอาจจะต้องอาศัยการพลิกแผ่นดินส่วนมากของตะวันออกกลางจนเละเทะ (หมายถึง การเปลี่ยนแปลงในซีเรีย อิหร่าน และอิรัก) เพื่อนำตนไปสู่ความสำเร็จก็ตาม
9/11 เป็นเหตุการณ์ที่ปูทางไปสู่การตระหนักถึงยุทธศาสตร์ Clean Break โดยใช้สหรัฐอเมริกาเป็นพร็อกซีขนาดมหึมา ความสำเร็จนี้จำเป็นจะต้องยกความดี ความชอบให้แก่อิทธิพลมหาศาลของเครือข่ายล็อบบี้ยิสต์อิสราเอล ในสภาคองเกรส และการครอบงำของกลุ่มอนุรักษ์นิยมใหม่ในรัฐบาลบุช
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความอับอาย และรำคาญใจของพวกเขา เราพบว่า ช่วงแรกของการเปิดฉากสงคราม (สงครามอิรัก) ไม่ได้ให้ผลการดำเนินการตามที่ผู้เขียนและให้การสนับสนุนยุทธศาสตร์ Clean Break คาดหวังไว้ ความฝันในการปราบปรามปฏิปักษ์ และโค่นล้มระบอบซัดดัมด้วยความโกรธเคืองของกลุ่มอนุรักษ์นิยมใหม่อเมริกัน ในท้ายที่สุดกลับกลายมาเป็นการช่วยติดตั้งฝ่ายสนับสนุนอิหร่านในอิรัก
มิหนำซ้ำ ในปัจจุบันนี้ อิหร่านยังสามารถเข้าไปจัดตั้งฐานทัพทหาร และทำการต่อสู้ภายในอิรักอีกด้วย…จะว่าไป สถานการณ์กลับแสดงผลลัพธ์ที่ชี้ว่า Chalabi อาจจะเป็นบุคคลในหน่วยงานลับของอิหร่านตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ได้
ผลลัพธ์แห่งหายนะที่เกิดขึ้นนี้ ได้กลายเป็นฝันร้ายสำหรับอิสราเอลและซาอุดีอาระเบีย ในประเด็นเกี่ยวกับ การปรากฎขึ้นของ “จันทร์เสี้ยวชีอะฮ์” จากอิหร่าน ผ่านทางอิรักไปยังซีเรีย และณ ตอนนี้ “ดาวชีอะฮ์” ดวงใหม่ในเยเมน ก็กำลังเข้ามาเป็นองค์ประกอบที่ทำให้ภัยคุกคามจาก “ดวงดาว และดวงจันทร์เสี้ยว” (อิทธิพล) ชีอะฮ์ที่น่ากลัวเหล่านี้ชัดเจนยิ่งขึ้น สิ่งที่อิสราเอลเห็นในภาพนี้ คือ เครือข่ายการสนับสนุนระดับภูมิภาคที่มีศักยภาพ สำหรับกองกำลังเจ้ากรรมนายเวร “ฮิซบุลลอฮ์”
![](http://www.abnewstoday.com/wp-content/uploads/2018/04/1101060731_400.jpg)
ในปี 2006 ได้มีการเปิดฉากสงครามอย่างเต็มรูปแบบกับเลบานอนเป็นครั้งที่สอง แต่แล้ว มันก็ถูกทำให้ล้มเหลวอีกครั้ง ด้วยกองกำลังฮิซบุลลอฮ์กลายเป็น กองกำลังอาหรับเจ้าแรกที่สามารถพิชิตชัยเหนืออิสราเอลได้ ภายในสงคราม 33 วัน มันจึงถึงเวลาแล้ว ที่อิสราเอล ควรจะต้องเริ่มคำนึงถึงประเด็นใหญ่ ๆ และในระดับภูมิภาคอีกครั้ง ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว สงครามของบุชกับอิหร่านไม่ได้จบลงตามแผนที่พวกเขาต้องการ (เหตุผลส่วนใหญ่ เป็นเพราะ CIA ได้แก้แค้นคืนกลุ่มอนุรักษ์นิยมใหม่ โดยการเผยแพร่รายงาน ที่ระบุอย่างชัดเจนว่า อิหร่าน ไม่มีปัจจัยใดๆที่เสี่ยงต่อการเป็นภัยคุกคามจากอาวุธนิวเคลียร์)
เพื่อแทนที่ความคลาดเคลื่อนดังกล่าว กลุ่มอนุรักษ์นิยมใหม่ และพันธมิตรซาอุฯ จึงดึงสหรัฐฯเข้าสู่ สิ่งที่ Seymour Hersh (นักข่าวมืออาชีพชาวอเมริกันผู้มีชื่อเสียง) เรียกว่า “the Redirection” (การกำหนดทิศทางใหม่) ในปี 2007 – ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสนับสนุน “สงครามสกปรก” ในการปลุกระดม ฝึกอาวุธ และให้ทุนสนับสนุนจัดตั้ง นักรบจิฮาดิสต์หัวรุนแรงซุนนี เพื่อใช้เป็นเครื่องมือดำเนินแผนการต่อต้านอิหร่าน ซีเรียและฮิซบุลลอฮ์
ในปี 2007 เมื่อหลายปีก่อนสงครามกลางเมืองซีเรีย หนึ่งในผู้เขียนยุทธศาสตร์ Clean Break นาย David Wurmser ได้กลับเข้าสู่การเล่นเกมส์แบบเก่าๆ ตามที่ The Daily Telegraph ได้เคยหยิบยกคำพูดของเขา มันหมายถึง:
David Wurmser ซึ่งเพิ่งลาออกหลังจากระยะเวลาสี่ปี ในฐานะที่ปรึกษาด้านตะวันออกกลางของรองประธานาธิบดี Dick Cheney กล่าวว่า:
“เราจำเป็นต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นไปได้ เพื่อบ่อนทำลายเสถียรภาพของระบอบปกครองซีเรีย และใช้ประโยชน์จากทุกๆช่วงสภาวะที่พวกเขาก้าวนำหน้าไปอย่างมีกลยุทธ์
‘นั้นย่อมรวมถึง ความตั้งใจในการขยายการโค่นล้มระบอบปกครอง(ซีเรีย) หากมีความจำเป็น” เขาชี้ว่า การยุติระบอบปกครองสังคมนิยมในดามัสกัส จะเป็นการกระตุ้นปฏิกิริยาโดมิโน่ ซึ่งจะบีบให้ระบอบการปกครองในเตหะรานอ่อนแอ และล่มสลายลงตามไปด้วย’ (…)
แม้ว่า คำแนะนำต่างๆของนาย Wurmser จะยังไม่กลายมาเป็นนโยบายของสหรัฐฯ ทว่าความแข็งกร้าวของเขาที่มีต่อความต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบปกครองในอิหร่าน และซีเรีย ก็ยังคงถูกพิจารณาว่า เป็นองค์ประกอบที่ช่วยใการปูพื้นฐานเอกสารนโยบาย ที่ได้รับการอนุมัติโดยนาย Cheney พญาเหยี่ยวผู้ไม่ยอมประณีประนอม ซึ่งมีความกังขาอย่างลึกซึ้ง เกี่ยวกับประสิทธิผลสำหรับการกดดันเตหะรานทางการทูต”
ขณะที่คลื่นอาหรับสปริงปี 2011 นำไปสู่การแพร่สะพัดของการลุกฮือในซีเรีย “The Redirection – การกำหนดทิศทางใหม่” ก็เริ่มต้นขึ้น นับได้ว่าสงครามสกปรกนำโดยสหรัฐฯและพันธมิตร ซึ่งเป็นผลพวงตามมาหลังจากนั้น เป็นการเพิ่มโบนัสให้แก่ การลากกองกำลังฮิซบุลลอฮ์เข้าสู่หล่มแห่งหายนะ ในความต้องการช่วยปกป้องอัสซาด ซึ่งดูเหมือนว่าการปกครองของเขากำลังเข้าใกล้ขอบเหว ในขณะนั้น
![](http://www.abnewstoday.com/wp-content/uploads/2018/04/al-nusra-front-syria-1024x576.jpg)
ยุทธศาสตร์ Clean Break กลับมาอีกครั้ง! อัสซาดกำลังจะล่มสลาย ซัดดัมก็ถูกกำจัดไปแล้ว ใครจะไปรู้ รายต่อไปอาจเป็น อยาตุลลอฮ์ ผู้นำสูงสุด เพราะอิหร่านอาจจะไม่มีวันไปสู่ข้อตกลงนิวเคลียได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุด สำหรับการ “พิทักษ์อาณาจักร” นั้น พวกเขารู้ดีว่า จำเป็นจะต้องทำให้ฮิซบุลลอฮ์พ่ายแพ้ เพราะกองกำลังฮิซบุลลอฮ์ คือ “หน่วยรบโดยตรง” ที่ไม่มีวันยอมประนีประนอมกับอิสราเอลอย่างแน่นอน…
_________________________________________
บทความชิ้นนี้เรียบเรียงจากงานเขียนโดย Dan Sanchez
Also published at DanSanchez.me, the Ron Paul Institute, LewRockwell.com, Zero Hedge, David Stockman’s Contra Corner, Voices of Liberty, and Medium.com.
This essay was discussed on the Ron Paul Liberty Report:
Thank you for reading. I work at the Mises Institute where I run the Mises Academy, an e-learning program for Austrian economics and libertarian political philosophy. I am a columnist for Antiwar.com and my essays have appeared atMises.org, LewRockwell.com, The Ron Paul Institute, and David Stockman’s Contra Corner. I have given lectures and conducted interviews for the Mises Institute and appeared on The Scott Horton Show and The Tom Woods Show. You can find all of my essays, lectures, and interviews at DanSanchez.me, you can follow me viaTwitter, Facebook, TinyLetter, and Medium, and you can email me at dan-at-mises.org.