เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามในซีเรียปะทุขึ้นเมื่อปี 2011 ที่ประธานาธิบดีซีเรีย “บาชาร์ อัลอัสซาด” ได้เดินทางไปยังอิหร่าน เพื่อพบกับผู้นำสูงสุด “อายะตุลเลาะห์ อะลี คาเมเนอี” และประธานาธิบดีอิหร่าน “ฮัสซัน รูฮานี”
ประธานาธิบดีอัสซาดเดินทางออกนอกประเทศซีเรียเพียงสองครั้งในช่วงสงคราม ซึ่งทั้งสองครั้งเป็นการเดินทางไปยัง “รัสเซีย”
“ความสำคัญ” ของการเดินทางครั้งนี้แทบยังถือว่ากล่าวน้อยกว่าความเป็นจริง แม้บอกว่า “มันเป็นข้อความที่ส่งไปยังผู้ที่ก่อสงครามตัวแทนต่อต้านซีเรียว่า ดามัสกัสได้รับชัยชนะแล้ว และความพยายามตอกลิ่มระหว่างซีเรียกับพันธมิตรในมอสโกและเตหะรานนั้นล้มเหลว” ซีเรียมีแต่ดึงมหาอำนาจของภูมิภาคเหล่านี้เข้าใกล้ชิดกัน
สัญลักษณ์ของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันระหว่างซีเรียและอิหร่านเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่วอชิงตันพบว่าตัวเองกำลังละล้าละลังระหว่างการถอนทหารจากซีเรียเต็มรูปแบบ, การสับเปลี่ยนกำลังทหารไปยังอิรัก, หรือพยายามที่จะยื้อความขัดแย้งซีเรียให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยคงกองกำลังสหรัฐฯ อยู่ที่นั่นอย่างไม่มีกำหนด
เดอะวอชิงตันโพสต์ รายงานในบทความเรื่อง “อัสซาดแห่งซีเรียเยือนอิหร่านในการเดินทางไปต่างประเทศที่พบได้ยากยิ่ง” (Syria’s Assad visits Iran in rare trip abroad) ยอมรับว่า:
“เจ้าหน้าที่ของสหรัฐอเมริกากล่าวว่า การตัดสินใจของทรัมป์ในการอนุญาตให้กองทหารสหรัฐฯ จำนวนเล็กน้อยยังคงอยู่ (ในซีเรีย) นั้น เป็นขั้นตอนสำคัญในการสร้างกองกำลังสังเกตการณ์ระหว่างประเทศที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งจะตรวจสอบในสิ่งที่เรียกว่า ‘เขตปลอดภัย’ (safe zone) ตามแนวชายแดนซีเรียกับตุรกี เขตกันชนนี้มีไว้เพื่อป้องกันการปะทะกันระหว่างตุรกีและกองกำลังเคิร์ดที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา ทั้งยังมุ่งเป้าไปที่การป้องกันกองกำลังของอัสซาดและนักรบที่อิหร่านหนุนหลังจากการเข้ายึดพื้นที่เพิ่มเติม”
นอกจากนี้สหรัฐฯ จะพยายามรักษาผู้ก่อการร้าย (ซึ่งหลายกลุ่มชัดเจนว่าถูกจัดอยู่ในสถานะเดียวกันกับองค์กรก่อการร้าย) ที่ยังคงครอบครองเขตอิดลิบ (Idlib) ทางตอนเหนือของซีเรีย
ในขณะที่สหรัฐฯ ล้มเหลวอย่างแน่นอนแล้วต่อเป้าหมายของตนที่จะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของซีเรีย และแม้ในขณะที่มันดูเหมือนอ่อนแอและสับสนเกี่ยวกับนโยบายในซีเรียและตะวันออกกลางโดยทั่วไป แต่สหรัฐยังคงมีศักยภาพในการยื้อความขัดแย้งของซีเรียให้ยืดออกไปและทำให้ประชาชนแบ่งแยกกันอย่างถาวรไม่มากก็น้อย
อิหร่านในซีเรีย
การไปเยือนอิหร่านของประธานาธิบดีอัสซาดไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์การแสดงความขอบคุณต่อบทบาทของอิหร่านในการช่วยซีเรียเอาชนะการรุกรานของสหรัฐ – มันยังเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าอิทธิพลของอิหร่านได้เติบโตขึ้น ไม่เฉพาะในซีเรียเท่านั้น กองกำลังติดอาวุธที่อิหร่านหนุนหลังได้แผ่ขยายไปทั่วทั้งซีเรียและอิรักเพื่อเผชิญหน้ากับผู้ก่อการร้ายที่ได้รับการหนุนหลังจากสหรัฐและอาหรับรัฐอ่าว รวมถึงกลุ่มเครือข่ายต่างๆ ของอัลกออิดะห์ และกลุ่มที่ประกาศตัวเป็นรัฐอิสลาม (ไอซิส)
เกมพนันของวอชิงตันได้ฝากความหวังไว้ที่ปฏิบัติการ “เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง” ที่ค่อนข้างรวดเร็ว เหมือนกับสงครามตัวแทนที่สหรัฐหนุนหลังในลิเบีย ความหมายคือรัฐบาลซีเรียต้องถูกม้วนเสื่ออย่างรวดเร็ว – สหรัฐฯ ดูเหมือนจะไม่คาดการณ์ความยืดหยุ่นหรือการแทรกแซงทางทหารของรัสเซียในปี 2015 เช่นดียวกับที่วอชิงตันอาจไม่คาดการณ์ถึงขนาดและประสิทธิภาพความมุ่งมั่นของเตหะราน
กลายเป็นว่า แทนที่จะสลายหนึ่งในพันธมิตรของอิหร่าน เพื่อแยกเตหะรานออกไป ก่อนที่จะทำการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองที่สหรัฐฯ มุ่งเน้นไปที่อิหร่านโดยตรง – กลับกลายเป็นว่า ผู้ก่อการร้ายของสหรัฐฯ และพันธมิตรที่ได้รับการหนุนหลังในภูมิภาคนี้ ทำหน้าที่เสมือนแรงผลักดันให้เตหะรานขยายขอบเขตกองกำลังของตนให้กว้างขึ้น (รวมถึงกองทหารติดอาวุธที่สนับสนุนโดยอิหร่าน) ทั่วทั้งภูมิภาค และโดยเฉพาะในซีเรียและอิรัก
เอกสารนโยบายของสหรัฐฯ ที่มีมาก่อนปี 2011 เกี่ยวกับสงครามตัวแทนในซีเรีย รวมถึงรายงานของ แรนด์คอร์ปอเรชัน (RAND Corporation) ปี 2009 เรื่อง“ อันตราย แต่ไม่สามารถมีอำนาจทุกอย่าง : การสำรวจขอบเขตและข้อจำกัดของอำนาจอิหร่านในตะวันออกกลาง” (Dangerous But Not Omnipotent : Exploring the Reach and Limitations of Iranian Power in the Middle East) ตั้งข้อสังเกตว่า นโยบายภายในประเทศและภูมิภาคของอิหร่านส่วนใหญ่ เกี่ยวข้องกับ “การป้องกันตัวเอง”
รายงานของ RAND ตั้งข้อสังเกตว่า :
ยุทธศาสตร์ของอิหร่านส่วนใหญ่เป็นการป้องกัน แต่มีองค์ประกอบเชิงรุกบางประการ ยุทธศาสตร์ของอิหร่านในการปกป้องระบอบการปกครอง คือการต่อต้านภัยคุกคามภายใน, ยับยั้งการรุกราน, ปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนหากการรุกรานเกิดขึ้น และการขยายอิทธิพลนั้นส่วนใหญ่เป็นการป้องกันเชิงรุก ที่ควบคู่ไปกับการแสดงออกของแรงบันดาลใจในระดับภูมิภาคของชาวอิหร่าน มันเป็นส่วนหนึ่งของการตอบสนองต่อการประกาศนโยบายและท่าทีของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่การโจมตีของผู้ก่อการร้ายเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2011 ผู้นำอิหร่านให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับภัยคุกคามเรื่องการบุกรุก เนื่องจากการพิจารณาอย่างเปิดเผยในสหรัฐฯ เรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง การกล่าวสุนทพรจน์ที่กำหนดอิหร่านเป็นส่วนหนึ่งของ “อักษะแห่งความชั่วร้าย” (axis of evil) และความพยายามของกองกำลังสหรัฐเพื่อรักษาความปลอดภัยการเข้าถึงฐานทัพในรัฐต่างๆ ที่อยู่รอบๆ อิหร่าน
RAND ยังกล่าวถึงความเอนเอียงของอิหร่านไปในการทำสงครามแบบ “อสมมาตร” (asymmetrical warfare) มากกว่าใช้กองกำลังทางทหารแบบดั้งเดิม และการใช้กองกำลังต่อต้านทั่วทั้งภูมิภาค รายงานระบุว่า :
ขีดความสามารถเรื่องอสมมาตรของอิหร่านบางอย่างกำลังเป็นภัยคุกคาม เนื่องจากกองกำลังทางทหารที่ด้อยกว่าของตน กฎเกณฑ์ด้านการป้องกันของอิหร่านโดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการยับยั้งการรุกรานต้องอาศัยการสู้รบแบบอสมมาตร นักยุทธศาสตร์ชาวอิหร่านชื่นชอบการรบแบบกองโจรที่ให้การเคลื่อนไหวที่เหนือกว่า การต่อสู้ด้วยขวัญกำลังใจ และการสนับสนุนที่ได้รับความนิยม (เช่น ฮิซบุลเลาะห์โมเดลในเลบานอน) เพื่อตอบโต้อำนาจดั้งเดิมที่เหนือกว่าทางเทคโนโลยี – นั่นคือ สหรัฐอเมริกา
กองกำลังเหล่านี้จะมีบทบาทสำคัญในการต่อต้าน “กองกำลังอสมมาตร” ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐและพันธมิตรในภูมิภาค รวมทั้ง “กองกำลังทางทหารตามแบบแผน” ที่นำโดยสหรัฐฯและยุโรปทั้งในซีเรียและอิรัก เป็นที่ชัดเจนว่า ผู้กำหนดนโยบายของสหรัฐตระหนักถึงความสามารถของอิหร่าน แต่อาจเพิกเฉยต่อพวกเขาหรือเชื่อในแผนการของตนเองว่าเพียงพอที่จะรับมือ
การลงทุนที่สำคัญและระยะยาวของอิหร่านในการสนับสนุนกองกำลังต่อต้าน รวมถึงฮิซบุลเลาะห์และกองกำลังอาสาสมัครพิทักษ์ประชาชน (Popular Mobilization Forces – PMF) ทั่วตะวันออกกลาง ประกอบกับศักยภาพทางการทหารที่สำคัญของรัสเซีย ทำให้โอกาสเหลือน้อยที่กลุ่มก่อการร้ายซึ่งสหรัฐหนุนหลังจะประสบความสำเร็จได้ อีกยังมีบทบาทของรัสเซียในซีเรียที่ป้องกันไม่ให้มีการตอบสนองทางทหารแบบเดิมๆ จากสหรัฐฯ เมื่อกองกำลังตัวแทนเริ่มพังทลาย
สหรัฐฯและพันธมิตรในระดับภูมิภาค -โดยเฉพาะอิสราเอล- ได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะขับไล่การปรากฏตัวของอิหร่านในการทำสงครามตัวแทนในซีเรียที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตามแม้จะมีการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลซ้ำๆ ในดินแดนซีเรีย แต่ก็เป็นที่ชัดเจนว่า การโจมตีทางอากาศเพียงอย่างเดียวนั้นจะประสบความสำเร็จน้อยมาก และในระยะยาวอาจกระทั่งหมายถึงสัญญาณแห่งความอ่อนแอที่รังแต่ช่วยเสริงสร้างการขยายระดมกำลังของพันธมิตรอิหร่าน อันแสดงให้เห็นถึงการขยายตัวของพวกเขาอย่างต่อเนื่องทั่วทั้งภูมิภาค และขยายตำแหน่งของพวกเขาลึกขึ้นไปยิ่งกว่าพรมแดนของอิหร่าน – ดังนั้นการทำสงครามของสหรัฐต่ออิหร่านเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ในตัวมันเองก็ยิ่งผลัก “ความเป็นไปได้” ให้ห่างออกไปไกลด้วยเช่นกัน
สถานะเจ้าโลกของอเมริกา
สหรัฐฯเผชิญกับการล่าถอยที่น่าอับอายจากตะวันออกกลาง – รวมถึงพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลก การปฏิเสธที่จะเปลี่ยนจากความทะเยอทะยานในการเป็นเจ้าโลกเพียงฝ่ายเดียว (hegemonic unipolar) ในศตวรรษที่ 20 มาเป็นผู้เล่นหลายคนที่สร้างสรรค์ในศตวรรษที่ 21 อาจปิดหน้าต่างแห่งโอกาสอย่างถาวร ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากผู้อื่นได้เข้ามามีอิทธิพลแทนที่และเข้าถึงในภูมิภาคต่างๆ เช่น ตะวันออกกลาง ที่รัสเซียและอิหร่านได้รับอุปการคุณจากความดื้อรั้นของวอชิงตันอย่างชัดเจน ทั้งนี้ในขณะที่รัสเซียและอิหร่านต่างแสดงความปรารถนาที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่สร้างสรรค์กับสหรัฐฯซ้ำๆ หลายครั้ง – บางทีผู้กำหนดนโยบายในวอชิงตันเชื่อว่า พวกเขาสามารถเสี่ยงที่จะใช้อำนาจความเป็นเจ้าโลกเพื่อทำลายหรือบีบบังคับเพื่อให้ได้ตำแหน่งที่ดีที่สุดในตะวันออกกลางนี้ ก่อนที่จะไปยังโต๊ะเพื่อเจรจา
มีโอกาสมาก – ที่โลกกำลังเป็นประจักษ์พยานในศตวรรษที่ 21 นี้ เกี่ยวกับการถอนตัวของจักรวรรดิอังกฤษจากทั่วโลก ความดื้อดึงตะแบงถูกลบออกจากมุมหนึ่งของอาณาจักรและที่อื่นๆ จนกระทั่งถูกผลักไสไปอยู่ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาของวอชิงตัน แต่สำหรับวอชิงตันไม่มีชาติมหาอำนาจตะวันตกอื่นใดที่จะส่งคบเพลิงแห่งลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตกมาให้ เมื่อมันถูกขับไล่จากทั่วโลกมันจะต้องดิ้นรนเพื่อหาบทบาทที่เกี่ยวข้องหรือสร้างสรรค์มากขึ้นในการเล่นในภูมิภาคเหล่านี้อีกครั้ง และด้วยความสามารถในการมองโลกที่สั้นของวอชิงตันและไม่สามารถปรับตัวเข้ากับโลกที่เป็นจริงได้เมื่อเทียบกับที่วอชิงตันต้องการให้เป็น – วอชิงตันได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ “ระเบียบโลก” (international order) การทึกทักเอาว่ามีอำนาจได้จบไปแล้ว ตามระเบียบโลกที่ว่า “อำนาจทำให้เกิดความชอบทำ-ถูกต้อง” (might makes right) วอชิงตันต้องเผชิญกับความจริงที่ว่าตนไม่มีพลังยิ่งใหญ่อีกแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่ผู้กำหนดความถูกต้องอีกต่อไป
ความอดทนของอิหร่านและการต่อต้านที่มีจังหวะจะโคน ได้พิสูจน์แล้วว่า สามารถท้าทายและพลิกกลับความเป็นเจ้าโลกของอเมริกาในตะวันออกกลาง และนำไปสู่เป้าหมายสูงสุดของกลยุทธ์อสมมาตรของเตหะราน นั่นคือ “การป้องกันตนเองของอิหร่าน”
แม้ว่าโอกาสในการทำสงครามกับอิหร่านของสหรัฐนั้นไม่สามารถตัดทิ้งออกได้อย่างเบ็ดสร็จ แต่ความเป็นไปได้ดูเสมือนว่าจะจางหายไปไกลเนื่องจากอำนาจของสหรัฐลดลงทั้งในระดับภูมิภาคและทั่วโลก แต่อาณาจักรที่ถูกตั้งค่าสถานะเป็นอาณาจักรที่สิ้นหวัง เมื่อยุคสมัยของระบอบการปกครองของสหรัฐมีการเปลี่ยนแปลง สงครามแห่งการเผาผลาญ เส้นทางแห่งการทำลายล้างที่พาดผ่านตะวันออกกลางดูเหมือนจะจบลง ความอดทนและความเพียรพยายามอย่างต่อเนื่องจะต้องได้รับการดูแลรักษาโดยซีเรียและพันธมิตรของตนอย่างรัสเซียและอิหร่าน เพื่อให้มั่นใจว่าชัยชนะที่พวกเขากำลังเฉลิมฉลองในวันนี้จะยั่งยืนและแผ่ขยายไปสู่อนาคตที่ดี
………
เขียนโดย: Tony Cartalucci, Bangkok-based geopolitical researcher and writer
ขอบคุณ/ที่มา : News Eastern Outlook
แปล/เรียบเรียง : กองบก.เอบีนิวส์ทูเดย์