โลกกำลังรวมหัว “ทิ้ง” เงินดอลลาร์ 

4286

จะเป็นอย่างไร ถ้านับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป ไม่มีใครในโลกนอกจากสหรัฐฯใช้เงินดอลลาร์อีกต่อไป? หากว่า ทุกประเทศ หรือ กลุ่มสังคมจะใช้สกุลเงินของตนเอง เพื่อการค้าขายทั้งภายในและต่างประเทศ อาจเป็นสกุลเงินดั้งเดิม หรือสกุลเงินดิจิทัลที่ควบคุมโดยรัฐบาลใหม่ แต่เป็นเงินของประเทศตนอย่างสิ้นเชิง มิใช่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ มิใช่เงินยูโร ซึ่งก็เป็นเสมือนลูกเลี้ยงของเงินดอลลาร์อีกที

จะเป็นอย่างไร หากไม่มีธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ ที่ถูกควบคุมโดยธนาคารสหรัฐฯ และด้วยระบบโอนเงินระหว่างประเทศที่ถูกจัดการด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อย่าง SWIFT ระบบ ที่อนุมัติและอำนวยความสะดวกในการคว่ำบาตรทางการเงินและเศรษฐกิจทุกชนิดให้แก่สหรัฐฯซึ่งคอยยึดเงินต่างประเทศ และหยุดการค้าขายระหว่างประเทศ อีกทั้งกระทำการเบล็กเมล์ประเทศต่างๆที่ไม่เต็มใจยอมจำนนต่อเป้าหมายของสหรัฐฯ ???

อะไรจะเกิดขึ้น? – คำตอบสั้น ๆ ก็คือ เราจะก้าวเข้าใกล้สันติภาพของโลกมากขึ้นอย่างแน่นอน และในขณะเดียวกัน ถอยห่างจากอำนาจ (ทางการเงิน) ของสหรัฐฯ ไปสู่อำนาจอธิปไตยแห่งชาติ – ไปสู่โครงสร้างทางภูมิศาสตร์การเมืองโลก ที่มีความเท่าเทียมกันมากขึ้น!

แม้ในตอนนี้ เราจะยังไม่ได้ยืนอยู่ในจุดนั้น ทว่าแรงโน้มนำเราไปสู่จุดนั้น ก็ปรากฎให้เราเห็น มันคอยส่งสัญญาณว่าเรากำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วไปยังทิศทางดังที่ว่า ทรัมป์รับรู้ถึงสิ่งนี้ และผู้จัดการทั้งหลายของเขาก็รู้ดีเช่นกัน – นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมการโจมตีด้วยอาชญากรรมทางการเงิน – การคว่ำบาตร – สงครามการค้า – การริบสินทรัพย์ต่างประเทศ และทุนสำรอง และรูปแบบการโจรกรรมอื่นๆ ทั้งหมดนี้ ภายใต้ชื่อสโลแกน “Make America Great Great  again” (ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง) ของทรัมป์ จึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และโดยที่ไม่ถูกตัดสินโทษใดๆ 

สิ่งที่น่าแปลกใจ คือ ดูเหมือนว่าบรรดาอหังการ์ทั้งหลายจะไม่เข้าใจว่า ภัยคุกคาม การคว่ำบาตร การกีดกันทางการค้า ทั้งหมดนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดสิ่งที่ขัดแย้งกับอะไรก็ตาม ที่ควรเป็นองค์ประกอบนำไปสู่ “ความยิ่งใหญ่ของอเมริกา” – การลงโทษทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าในรูปแบบใด จะมีประสิทธิผล ก็ต่อเมือโลกยังคงใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯเพื่อการค้า และใช้เป็นสกุลเงินสำรองเท่านั้น

เมื่อโลกเริ่มเบื่อ และเหนื่อยหน่ายกับการบงการอย่างไร้เหตุผลของวอชิงตัน รวมไปถึงแผนการคว่ำบาตรต่อผู้ที่ไม่ต้องการ ปฏิบัติตามกฎที่อธรรมของสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป ประเทศต่างๆก็จะยิ่งอยากกระโดดไปนั่งเรือลำอื่นแทน หรือไม่เช่นนั้น ก็อยากจะสละทิ้งการใช้เงินดอลลาร์ และหันมาให้คุณค่าแก่สกุลเงินของตนเอง โดยการซื้อขายซึ่งกันและกันในสกุลเงินของตนเอง ซึ่งอยู่นอกระบบธนาคารของสหรัฐฯ (ที่ยังควบคุมการซื้อขายในสกุลเงินท้องถิ่นด้วย ตราบเท่าที่เงินทุนต่างๆ จำต้องถูกโอนจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่งผ่านทาง SWIFT)

หลายประเทศต่างตระหนักว่า เงินดอลลาร์กำลังทำหน้าที่ควบคุมและจัดการมูลค่าทางเศรษฐกิจของพวกเขาเพิ่มมากขึ้น เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นสกุลเงินกระดาษ อาจทำให้เศรษฐกิจของประเทศรุ่งเรืองขึ้นหรือด้อยลง ล้วนขึ้นอยู่กับทิศทางที่ประเทศนั้นได้รับการสนับสนุน หรือเป็นที่เห็นชอบโดยมหาอำนาจ 

ทุกวันนี้ เงินดอลลาร์ มิใช่สิ่งที่น่าโอ้อวด ทั้งยังมีค่าน้อยยิ่งกว่ากระดาษที่ตีพิมพ์มันเสียอีก GDP ของสหรัฐฯอยู่ที่ 21.1 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2562 (ประมาณการโดยธนาคารโลก) โดยมีหนี้สินหมุนเวียนอยู่ที่ 22.0 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 105% ของ GDP 

GDP ของโลก คาดไว้สำหรับปี 2562 อยู่ที่ 88.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามที่อ้างโดย Forbes – ระบุว่า ประมาณ 210 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯเป็น “หนี้สินที่ไม่ได้รับเงินทุน” (มูลค่าสุทธิในปัจจุบันของภาระผูกพันที่คาดการณ์ไว้ในอนาคต แต่ยังไม่ได้ชำระ (75 ปี) โดยหลัก เป็นหนี้ประกันสังคม การแพทย์ และดอกเบี้ยหนี้สะสม) ประมาณเป็น 10 เท่าของ GDP สหรัฐฯ หรือสองเท่ากับอีกครึ่งของผลผลิตทางเศรษฐกิจของโลก

ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากดอกเบี้ยที่เป็นหนี้ทบต้นเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรียกในแง่ธุรกิจว่า ‘งบชำระหนี้’ (ดอกเบี้ยและการผ่อนชำระหนี้) นอกจากนี้ ยังมีเงินประมาณหนึ่งถึงสองพันล้านล้านดอลลาร์ (ไม่มีใครรู้จำนวนที่แน่นอน) ของตราสารอนุพันธ์ที่ล่องลอยทั่วโลก ตราสารอนุพันธ์ เป็นเครื่องมือทางการเงิน ที่สร้างมูลค่าจากความแตกต่างที่ไม่แน่นอนของการเก็งกำไรของสินทรัพย์ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการแลกเปลี่ยนระหว่างธนาคาร และตลาดหลักทรัพย์เงินปลีก อย่างเช่น ‘futures’, ‘options’, ‘forwards’ และ ‘swaps’

หนี้มหึมานี้ ส่วนหนึ่งถูกครอบครองในรูปแบบของพันธบัตรรัฐบาล ในฐานะทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่ของพวกเขาตกเป็นหนี้สหรัฐฯ – โดยไม่มีแผนที่จะ “จ่ายคืน” – ทว่ากลับสร้างเงินมากขึ้น กล่าวคือ มีหนี้สินมากขึ้น ซึ่งมันเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับสงครามที่ไม่หยุดยั้ง การผลิตอาวุธ และการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อรักษาความสงบของประชาชน

ลองนึกภาพว่า หนี้ก้อนนี้พังทลายลง ตัวอย่างเช่น เป็นเพราะธนาคารขนาดใหญ่ (Wall Street) แห่งหนึ่ง หรือ หลายแห่ง กำลังอยู่ในภาวะล้มละลาย ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกร้องตราสารอนุพันธ์ที่โดดเด่น อย่างทองคำกระดาษ และหนี้อื่น ๆ จากธนาคารขนาดเล็กกว่า มันจะสร้างปฏิกิริยาลูกโซ่ ที่อาจดึงเศรษฐกิจโลกที่พึ่งพิงอยู่กับเงินดอลลาร์ให้ดิ่งลงมาด้วย 

โลกตระหนักถึงภัยคุกคามที่เป็นจริงนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ภัยคุกคามที่ว่า คือ เศรษฐกิจที่ตั้งอยู่บนบ้านกระดาษ ซึ่งอ่อนแอ และสามารถถูกทำลายได้อย่างง่ายดาย ประเทศต่าง ๆ ต่างต้องการถอนตัวออกจากกับดัก ออกมาจากเขี้ยวของเงินดอลลาร์สหรัฐฯนี้  ทว่ามันไม่ง่ายเลย เพราะเงินสำรองและสินทรัพย์ที่ลงทุนในต่างประเทศทั่วโลกนั้น ล้วนดำเนินการโดยใช้สกุลเงินดอลลาร์ ทางออกของพวกเขา อาจจะเป็นการค่อยๆทยอยขายเงินลงทุนเหล่านั้น และย้ายไปใช้สกุลเงินที่ไม่ขึ้นอยู่กับดอลลาร์แทน อาทิ เงินหยวนของจีน และรูเบิลของรัสเซีย หรือสกุลเงินตะวันออกที่ไม่เชื่อมโยงกับดอลลาร์ และระบบการชำระเงินระหว่างประเทศของมัน ระบบ SWIFT – แต่ก็ต้องระมัดระวัง เงินยูโร เพราะยูโร ถือเป็นลูกอุปถัมภ์ของเงินดอลลาร์สหรัฐ!  

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันนี้ โลกมีทางเลือกเทคโนโลยี Blockchain (ระบบโครงข่ายในการเก็บบัญชีธุรกรรมออนไลน์) มากขึ้น จีน, รัสเซีย, อิหร่าน และเวเนซูเอลากำลังทดลองกับการเข้ารหัสลับสกุลเงินดิจิทัลแบบกระจายอำนาจ (cryptocurrencies) ที่ควบคุมโดยรัฐบาล เพื่อสร้างระบบการชำระเงิน และการโอนใหม่ นอกโดเมนดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงการคว่ำบาตร โดยอินเดียอาจเข้าร่วมสโมสรนี้ หรืออาจจะไม่ – แล้วแต่ว่า รัฐบาลโมดี จะตัดสินใจหันหน้าไปทางใด ระหว่างตะวันออกหรือตะวันตก ทั้งนี้เหตุและผลจะชี้แนะให้อินเดียหันไปทางทิศตะวันออก เนื่องจากอินเดียเป็นส่วนสำคัญของตลาดเศรษฐกิจเอเชีย-ยุโรป และเป็นดินแดนขนาดใหญ่

อินเดียเป็นสมาชิกขององค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) – เป็นสมาคมของบรรดาประเทศซึ่งกำลังพัฒนากลยุทธ์เชิงสันติ สำหรับการค้า การรักษาความปลอดภัย และการป้องกันทางการเงิน ประกอบด้วย จีน รัสเซีย อินเดีย ปากีสถาน ประเทศในเอเชียกลางส่วนใหญ่ และอิหร่าน ที่กำลังรอจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกอย่างเต็มตัว กล่าวคือ SCO คิดเป็นสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของประชากรโลก และหนึ่งในสามของผลผลิตทางเศรษฐกิจของโลก ดังนี้ ตะวันออกจึงไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งตะวันตกเพื่อความอยู่รอด ไม่น่าแปลกใจเลย ที่สื่อตะวันตกแทบจะไม่เอ่ยถึง SCO ซึ่งหมายความว่า สาธารณชนชาวตะวันตกส่วนใหญ่ โดยเฉลี่ย ไม่รู้ว่า SCO นั้นย่อมาจากอะไร และมีใครเป็นสมาชิกบ้าง

เทคโนโลยี Blockchain ที่ควบคุม และจัดการโดยรัฐบาล อาจกลายเป็นกุญแจสำคัญ ในการต่อต้านอำนาจทางการเงินที่บีบบังคับ และต่อต้านการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ – ไม่ว่าประเทศใด ย่อมมีความยินดีที่จะเข้าร่วมกลุ่มประเทศพันธมิตรใหม่นี้ และหันหน้าเข้าพึ่งแนวทางการค้าทางเลือกแบบใหม่ แต่เติบโตอย่างรวดเร็ว – รวมทั้งหวนกลับคืนสู่อำนาจอธิปไตยทางการเมือง และทางการเงินของชาติตน

ในกรณีของการลดการผูกขาดเงินดอลลาร์ เรายังมี “ ธนาคารแลกเปลี่ยน” ของอินเดีย ตัวอย่างเช่น พวกเขาซื้อขายชาอินเดีย แลกกับน้ำมันอิหร่าน – ที่ซึ่งข้อตกลงสำหรับสินค้าที่จะทำการแลกเปลี่ยนกับน้ำมันเบนซินอิหร่าน ในลักษณะดังกล่าวนั้น จะดำเนินการผ่าน “ธนาคารแลกเปลี่ยน” ของอินเดีย โดยที่สกุลเงิน เช่น สกุลรียาลของอิหร่าน และรูปีของอินเดียจะได้รับการจัดการโดยธนาคารเดียวกัน การแลกเปลี่ยนสินค้า มีพื้นฐานอยู่บนรายการค้าขายที่มีปริมาณทางการเงินสูงที่สุดของอินเดีย ต่อผลิตภัณฑ์ไฮโดรคาร์บอนของอิหร่าน เช่น การนำเข้าชาอินเดียขนาดใหญ่ของอิหร่าน เป็นต้น ในกรณี้ จะไม่มีธุรกรรมทางการเงินเกิดขึ้นนอกประเทศอินเดีย ดังนั้นการคว่ำบาตรของสหรัฐฯจึงสามารถหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากไม่มีธนาคารสหรัฐฯ หรือการแทรกแซงของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ สามารถหยุดกิจกรรมการค้าทวิภาคีได้

ณ จุดนี้ มันอาจเหมาะสมที่จะกล่าวถึง ความพยายามของเฟสบุ๊ก (Facebook) ในการนำเสนอ The Lira คือ การเข้ารหัสลับสกุลเงินดิจิทัลแบบกระจายอำนาจ (cryptocurrency)  ที่ขยายไปทั่วโลก แม้จะไม่ค่อยมีใครรู้ว่ามันจะดำเนินการอย่างไร แต่ที่แน่ๆแล้ว มันได้ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับสมาชิกเฟสบุ๊กหลายพันล้านคนทั่วโลก จากข้อมูลของเฟสบุ๊ก ระบุว่า มีสมาชิก ที่ใช้บริการเฟสบุ๊กอยู่ที่จำนวน 2.38 พันล้านคน ลองนึกดูว่า หากเพียงสองในสาม – หรือ ประมาณ 1.6 พันล้าน คน- เปิดบัญชี Libra กับเฟสบุ๊กแล้วละก็.. ประตูการเงินด้วยสกุลเงิน Libras จากทั่วโลกก็จะถูกเปิดขึ้น Libra เป็นหรืออาจจะเป็น การเข้ารหัสลับสกุลเงินดิจิทัลของเอกชน – และ – มาจากเฟสบุ๊ก – ซึ่งถูกลิขิตมาเพื่อแทนที่ดอลลาร์ โดยคนกลุ่มเดียวกัน ที่กำลังข่มเหงโลกใบนี้ด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มันอาจถูกเสนอขึ้นมา เพื่อเป็นยาถอนพิษ สกุลเงินดิจิทัลแบบกระจายอำนาจที่ควบคุมโดยรัฐบาลอื่นๆ ในความต้องการหลีกเลี่ยงผลกระทบจากปรากฎการณ์ยกเลิกการผูกขาดเงินดอลลาร์ 

ท่ามกลางการคว่ำบาตรของสหรัฐฯและสหภาพยุโรป ถึงกระนั้นการลงทุนของเยอรมันในรัสเซียก็กำลังทำลายสถิติในรอบ 10 ปี ภายในปีนี้ โดยธุรกิจของเยอรมันได้ทุ่มเงินกว่า 1.7 พันล้านยูโรในเศรษฐกิจของรัสเซียในช่วงสามเดือนแรกของปี 2562 ตามรายงานของหอการค้ารัสเซีย-เยอรมัน โดยปริมาณการลงทุนของบริษัทเยอรมันในรัสเซียเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 33% – หรือ 400 ล้านยูโร – ตั้งแต่ปีที่แล้ว เมื่อการลงทุนรวม สูงขึ้นไปถึง 3.2 พันล้านยูโร ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2551 แม้จะมีการคว่ำบาตร ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1 พันล้านยูโร รวม 140 บริษัทเยอรมัน ที่ทำการสำรวจ และจดทะเบียนกับหอการค้า และแม้จะมีแรงกดดันต่อต้านรัสเซีย แต่ทว่าการค้าระหว่าง รัสเซีย – เยอรมัน ก็เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 8.4% และสูงถึงเกือบ 62 พันล้านยูโรในปี 2561

นอกจากนี้ แม้ว่าจะมีการประท้วง และข่มขวัญจะคว่ำบาตรโดยสหรัฐฯ มอสโกและเบอร์ลินยังคงดำเนินโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ Nord Stream 2 ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จก่อนสิ้นปี 2562  ไม่เพียงแค่ความใกล้ชิดของก๊าซรัสเซีย จะทำให้มันเป็นแหล่งจัดหาก๊าซธรรมชาติที่สมเหตุสมผลสำหรับเยอรมันและยุโรปเท่านั้น ทว่ามันยังจะนำมาซึ่งความเป็นอิสระของยุโรป จากวิธีการขายที่ไม่เป็นธรรมของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย และการชำระเงินจะไม่ถูกดำเนินการด้วยสกุลเงินดอลลาร์ ขณะที่ผลประโยชน์ทางธุรกิจ และความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างเยอรมัน – รัสเซีย จะมีมากกว่าการคว่ำบาตรที่ผิดกฎหมายของสหรัฐฯในระยะยาว และเมื่อถึงคราวที่สหรัฐฯตระหนักถึงสิ่งนี้ ก็ไม่มีอะไรจะหยุดสมาคมธุรกิจรัสเซีย – เยอรมัน ให้เจริญรุ่งเรือง และเป็นที่ดึงดูดความสนใจจากความสัมพันธ์ทางธุรกิจอื่น ๆ ของสหภาพยุโรปกับรัสเซียได้ – ซึ่งทั้งหมดจะดำเนินการ ภายนอกระบบธนาคาร และการถ่ายโอนด้วยสกุลเงินดอลลาร์

สงครามการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ กับจีน ในที่สุดก็จะได้รับผลกระทบจากการยกเลิกการผูกขาดเงินดอลลาร์ เนื่องจากจีนจะแสวงหา และทำการซื้อขายกับคู่ค้าอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ คือ เอเชีย เอเชียแปซิฟิก และยุโรป ผู้ซึ่งจีนจะทำสัญญาอื่นๆนอกระบบการโอนเงิน SWIFT เช่น ใช้ระบบการชำระเงินระหว่างประเทศจีน (CIPS) ซึ่งเปิดให้บริการสำหรับการค้าระหว่างประเทศ โดยประเทศใดๆก็ตามทั่วโลก

สิ่งนี้จะไม่เพียงแต่หลีกเลี่ยงการลงโทษภาษีศุลกากรต่อการส่งออกของจีน (และทำให้ชาวสหรัฐฯ  ที่เป็นลูกค้าสินค้าจีนไม่พอใจ เนื่องจากสินค้าจีนจะไม่มีขายในราคาที่จับจ่ายได้อีกต่อไป หรือ อาจจะไม่มีขายอีกต่อไปเลย) แต่กลยุทธ์นี้ ยังส่งเสริมสกุลเงินหยวนของจีน ในตลาดต่างประเทศ และเพิ่มค่าเงินหยวนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในฐานะสกุลเงินสำรองที่เชื่อถือได้อีกด้วย ซึ่งจะมีมูลค่ามากกว่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในความเป็นจริง ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา สินทรัพย์ภายใต้อิทธิพลของสกุลเงินดอลลาร์ ในเงินสำรองระหว่างประเทศได้ลดลงจากกว่า 90% เหลือต่ำกว่า 60% และจะลดลงอย่างรวดเร็วต่อไปอีก เนื่องจากนโยบายการเงินบีบบังคับของวอชิงตันมีอิทธิพลเหนือกว่า เงินสำรองดอลลาร์จะถูกแทนที่อย่างรวดเร็ว ด้วยเงินสำรองในสกุลเงินหยวน และทองคำ และแม้แต่ในบรรดาผู้สนับสนุนตะวันตกอย่างแข็งขัน เช่น ออสเตรเลีย

วอชิงตันยังได้เปิดตัวสงครามทางการเงินต่อต้านการผลิตของตุรกี เนื่องจากตุรกีกำลังหันหน้าเข้าหา และสร้างความสัมพันธ์ฉันมิตรกับรัสเซีย อิหร่าน และจีน และที่สำคัญที่สุด เพราะตุรกี ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของนาโต้ได้ซื้อระบบการป้องกัน S-400 ทางอากาศที่ทันสมัยของรัสเซีย – นี่เป็นพันธมิตรทางทหารใหม่ ที่สหรัฐฯไม่สามารถยอมรับได้ ผลก็คือ สหรัฐอเมริกาได้เข้าสู่แผนการบ่อนทำลายสกุลเงินตุรกี (ลีรา) ซึ่งขาดทุนไปแล้วประมาณ 40% ตั้งแต่เดือนมกราคม 2561

ตุรกีจะทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ เพื่อหลีกเลี่ยงอิทธิพลของสกุลเงินดอลลาร์ และการคว่ำบาตรสกุลเงิน และต่อจากนั้น จะหันหน้าเข้าร่วมกับโลกตะวันออก ปัจจัยนี้จะส่งผลขาดทุนสองเท่าสำหรับสหรัฐอเมริกา เพราะตุรกีมีแนวโน้มที่จะละทิ้งการซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และปรับสกุลเงินของตน ด้วยสกุลอื่น เช่น เงินหยวนของจีน และเงินรูเบิลของรัสเซีย และเมื่อกล่าวถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อพันธมิตรมหาสมุทรแอตแลนติกแล้ว เรายังมีประเด็นที่ว่า ตุรกีอาจมีแนวโน้มที่จะออกจากนาโต้ การละทิ้งนาโต้ จะเป็นหายนะครั้งใหญ่สำหรับสหรัฐอเมริกา เนื่องจากตุรกีถือเป็นหนึ่งในกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุด ทั้งในแง่ของกลยุทธ์ และอำนาจทางทหารของนาโต้ – อาจกล่าวได้ว่า เป็นประเทศที่แข็งแกร่งที่สุดจาก 29 สมาชิก นอกจากสหรัฐอเมริกา

หากตุรกีออกจากนาโต้ พันธมิตรของนาโต้ในยุโรปทั้งหมดจะถูกขย่มและตั้งคำถาม ประเทศอื่น ๆ ซึ่งไม่ไว้วางใจนาโต้ และเก็บกักอาวุธนิวเคลียร์ของนาโต้ไว้ในดินแดนของตน โดยเฉพาะอิตาลีและเยอรมนีอาจพิจารณาออกจากนาโต้ด้วย ผู้คนส่วนใหญ่ ทั้งในเยอรมนีและอิตาลีต่างต่อต้านนาโต้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาต่อต้านสงคราม โดยเพนตากอน จากฐานทัพของนาโต้ในดินแดนของประเทศตน คือ ในเยอรมนี และอิตาลี

เพื่อต่อต้านแนวโน้มนี้ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเยอรมัน นางสาว Ursula von der Leyen จากพรรคอนุรักษ์นิยม CDU เยอรมัน ได้รับการดูแลให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของ นาย Jean-Claude Juncker ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการยุโรป นาย Juncker ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี ค.ศ. 2014 ขณะที่นางสาว Von der Leyen ได้รับการโหวต เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา เธอเป็นผู้สนับสนุนอย่างแข็งขันของนาโต้ บทบาทของเธอ คือการทำให้นาโต้เป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรป ในความเป็นจริง ในวันนี้ นาโต้ ก็คือองค์กรที่ดำเนินกิจการของ EU สิ่งนี้อาจเปลี่ยนไป เมื่อผู้คนลุกขึ้นต่อต้านนาโต้ ต่อต้านข้าหลวงใหญ่สหรัฐอเมริกา ต่อต้านการบริหารของสหภาพยุโรปในกรุงบรัสเซลส์ และเรียกร้องสิทธิตามระบอบประชาธิปไตยในฐานะพลเมืองของประเทศชาติของพวกเขา

ชาวยุโรปรู้สึกได้ว่า เพนตากอนเป็นผู้ริเริ่มและดำเนินการสงครามและความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสงครามเหล่านั้นได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรหุ่นเชิดของยุโรปในกรุงวอชิงตัน โดยที่มันอาจนำไปสู่การอุบัติขึ้นของสงครามนิวเคลียร์ ขณะที่ฐานทัพนาโต้ในประเทศของพวกเขาอาจจะเป็นฐานกลุ่มแรกที่ถูกกำหนดเป้าหมาย และทำให้ยุโรปเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ภายในระยะเวลาร้อยปี อย่างไรก็ตาม มันอาจเป็นสงครามนิวเคลียร์แบบทำลายล้าง – และไม่มีใครรู้หรือสามารถทำนายความเสียหายของภัยพิบัติเช่นนั้นได้ หรือแม้แต่ระยะเวลาในการกู้คืนแผ่นดินโลกจากหายนะนั้นได้ 

ฉะนี้ เราหวังว่าตุรกีจะออกจากนาโต้ ซึ่งมันจะถือเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่สู่สันติภาพ และเป็นคำตอบที่ดีต่อการแบล็กเมล์และการบ่อนทำลายสกุลเงินตุรกีของวอชิงตัน การคว่ำบาตรสกุลเงินสหรัฐฯ เป็นดั่งพร ในระยะยาว มันทำให้ตุรกีมีข้อโต้แย้งที่ดี ในการละทิ้งเงินดอลลาร์สหรัฐ และค่อย ๆ เปลี่ยนไปเชื่อมกับเงินทางทิศตะวันออก โดยมีเงินหยวนของจีนเป็นหลัก นี่ถือเป็นการตอกตะปูตัวสุดท้ายให้กับฝาโลงของสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับวอชิงตัน คือ การออกจากนาโต้ของตุรกี การเคลื่อนไหวเช่นนั้นจะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว และแม้จะมีการต่อสู้ของ Ms. Von der Leyen เพื่อนาโต้ก็ตาม เพราะการสลายตัวของนาโต้จะทำลายโครงสร้างอำนาจตะวันตกในยุโรปและทั่วโลก ที่ซึ่งสหรัฐฯยังคงรักษาฐานทัพทหารของตนมากกว่า 800 แห่ง ในทางกลับกัน การแยกตัวของนาโต้จะเพิ่มความปลอดภัยให้แก่โลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป การออกจากนาโต้ และการออกจากวงโคจรดอลลาร์สหรัฐ ในทางเศรษฐกิจ เป็นขั้นตอนต่อไปสู่การลดการผูกขาดเงินดอลลาห์สหรัฐฯ และทำให้ความเป็นเจ้าโลกด้านการทหารและการเงินของสหรัฐฯอ่อนแอลง

ท้ายสุดนี้ การลงทุนของ Chinese Belt and Road Initiative (BRI) หรือที่เรียกว่า ยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมใหม่ ก็จะถูกดำเนินการด้วยสกุลเงินหยวน และสกุลเงินท้องถิ่นของประเทศที่เกี่ยวข้อง และรวมอยู่ในแผ่นดิน และเส้นทางการเดินเรือของ BRI ซึ่งในที่สุดท้ายก็จะครอบคลุมทั่วโลก 

BRI ให้คำมั่นว่า มันจะเป็นการปฏิวัติทางเศรษฐกิจยุคใหม่ ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับเงินดอลลาร์ สำหรับทศวรรษ หรืออาจจะเป็นศตวรรษ ที่กำลังจะมาถึง เพื่อเชื่อมโยงผู้คนและประเทศ – วัฒนธรรม การวิจัยและการสอน ที่ไม่บังคับให้มีความกลมกลืน แต่ส่งเสริมความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรม และความเท่าเทียมในความเป็นมนุษย์ – และทั้งหมดนี้ จะอยู่ภายนอกอาณาจักรเงินดอลลาร์ เป็นการทำลายอำนาจเงินดอลลาร์ที่อธรรม

……

แปลและเรียบเรียงจากบทความโดย: Peter Koenig

Peter Koenig เป็นนักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์และภูมิรัฐศาสตร์ เขายังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อม เคยทำงานเป็นเวลากว่า 30 ปีร่วมกับธนาคารโลก และองค์การอนามัยโลกในด้านสิ่งแวดล้อมและน้ำทั่วโลก เขาสอนและบรรยายอยู่ในมหาวิทยาลัยหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และอเมริกาใต้ เขาเขียนบทความให้แก่ Global Research; ICH; RT; Sputnik; PressTV; The 21st Century; TeleSUR; The Saker Blog, the New Eastern Outlook (NEO); และเว็ปไซต์อื่นๆเป็นประจำ เขาเป็นผู้ประพันธ์ Implosion – An Economic Thriller about War, Environmental Destruction and Corporate Greed  – นิยายอิงจากข้อเท็จจริงและประสบการณ์การทำงานทั่วโลกกว่า 30 ปี ของเขาร่วมกับธนาคารโลก เขายังเป็นผู้ร่วมเขียน The World Order and Revolution! – Essays from the Resistance นอกจากนี้ เขายังป็นผู้ร่วมงานวิจัยของศูนย์วิจัยเกี่ยวกับโลกาภิวัตน์

 

ที่มา: https://www.globalresearch.ca/world-dedollarizing/5684049