ทรัมป์เพิกเฉย การแจ้งเตือนล่วงหน้าโดยหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ กรณีการระบาด โควิด-19

137

วอชิงตัน – เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ซึ่งมีความใกล้ชิดกับการรายงานของหน่วยข่าวกรองเปิดเผยว่า หน่วยข่าวกรองสหรัฐออกประกาศเตือนภัยครั้งใหญ่ เกี่ยวกับภัยคุกคามระดับโลกที่เกิดจากไวรัสโคโรน่า ตั้งแต่เดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ในขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลล์ ทรัมป์ และฝ่ายนิติบัญญัติกลับไม่ได้ให้ความสำคัญกับภัยคุกคามดังกล่าว ทั้งยังล้มเหลวในการดำเนินมาตรการใดๆ ที่อาจชะลอการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส

รายงานต่างๆของหน่วยข่าวกรองไม่ได้คาดการณ์ว่า ไวรัสจะเทียบท่าบนชายฝั่งสหรัฐอเมริกาเมื่อใด หรือได้แนะนำขั้นตอนเฉพาะที่เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขควรดำเนินการ อันเป็นประเด็นที่อยู่นอกเหนือขอบเขตของหน่วยงานข่าวกรอง แต่พวกเขาได้ติดตามการแพร่กระจายของไวรัสในประเทศจีน และต่อมาในประเทศอื่น ๆ และเตือนว่า เจ้าหน้าที่ชาวจีน ดูเหมือนจะสามารถจัดการกับความรุนแรงของการระบาดได้

ประเด็นเหล่านี้บ่งชี้ว่า รายงานและคำเตือนได้วาดภาพแรกของไวรัสเอาไว้ ซึ่งมันแสดงให้เห็นถึงลักษณะของการระบาดใหญ่ทั่วทั้งโลก ที่อาจทำให้รัฐบาลต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อควบคุมมัน แต่ถึงแม้จะมีการรายงานอย่างสม่ำเสมอ กระนั้นทรัมป์ก็ยังคงไม่ให้ความสำคัญกับภัยคุกคามจากเชื้อไวรัสที่มีต่อชาวอเมริกัน ฝ่ายนิติบัญญัติ เช่นเดียวกัน ไม่ได้ต่อสู้กับไวรัสอย่างจริงจัง จนกระทั่งเข้าสู่เดือนนี้ เมื่อประชาชนเริ่มได้รับผลกระทบ หน่วยงานทั้งหลายจึงพยายามออกมาตรการต่างๆ เพื่อจำกัดให้พลเมืองอยู่ภายในบ้าน ผนวกกับโรงพยาบาลต่างๆ ก็อัดแน่นไปด้วยผู้ป่วยที่ทุกข์ทรมานจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19

หน่วยข่าวกรอง “ได้เตือนเรื่องนี้ไว้ ตั้งแต่เดือนมกราคม” – เจ้าหน้าที่สหรัฐรายหนึ่ง ที่เข้าถึงรายงานข่าวกรอง ซึ่งได้เผยแพร่มันต่อสมาชิกรัฐสภาคองเกรส และเจ้าพนักงานทั้งหลาย ตลอดจนเจ้าหน้าที่ในการบริหารของทรัมป์ พร้อมกับคนอื่นๆ ได้เปิดเผย และอธิบายถึงประเด็นข้อมูลที่ละเอียดอ่อนนี้ ภายใต้เงื่อนไขที่จะไม่เปิดเผยชื่อ

“ โดนัลด์ ทรัมป์ อาจไม่ได้คาดการณ์สิ่งนี้ แต่มีคนอื่น ๆ ในรัฐบาลจำนวนมากได้คาดการณ์ไว้ – เพียงแต่พวกเขาไม่สามารถดำเนินการให้เขาทำอะไรกับมันได้” เจ้าหน้าที่คนนี้กล่าว “ระบบกำลังกะพริบเป็นสีแดง”

โฆษกของ CIA และสำนักงานผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น และโฆษกของทำเนียบขาว ก็คัดค้านการวิพาก์วิจารณ์ที่มีต่อการตอบสนองของทรัมป์

“ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ใช้มาตรการที่เป็นประวัติศาสตร์ และที่มีความแข็งกร้าว เพื่อปกป้องสุขภาพ ความมั่งคั่ง และความปลอดภัยของคนอเมริกัน – และเขาได้ปฏิบัติตามนั้น ในขณะที่สื่อ และพรรคเดโมเครต กลับเลือกที่จะมุ่งเน้นไปที่ประเด็นการเมืองว่าด้วยการฟ้องร้องตบตาที่ผิดกฎหมาย” Hogan Gidley กล่าวในแถลงการณ์ “มันเป็นมากกว่าความน่าขยะแขยง น่ารังเกียจ และน่าขายหน้า สำหรับแหล่งที่มา ที่ไม่ระบุนามอย่างขลาดเขลา ในความพยายามเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ – นี่เป็นภัยคุกคามที่ชัดเจนสำหรับประเทศอันยิ่งใหญ่นี้”

ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข วิจารณ์ว่า จีนมีความล่าช้า ในการตอบสนองต่อการระบาดของไวรัสโคโรน่า ซึ่งมีที่มาจากเมืองหวู่ฮั่น และกล่าวว่า เวลาอันมีค่าได้สูญหายไปในความพยายามที่จะชะลอการแพร่ระบาด ในการบรรยายสรุปของทำเนียบขาวเมื่อวันศุกร์ Alex Azar รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และบริการมนุษย์สหรัฐฯ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ได้รับการแจ้งเตือน ไปยังรายงานเบื้องต้นเกี่ยวกับไวรัส โดยได้หารือกับผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อ (CDC) และเพื่อนร่วมงานชาวจีน เมื่อวันที่ 3 มกราคม

คำเตือนของหน่วยข่าวกรองสหรัฐเริ่มมีมากขึ้น ในช่วงปลายเดือนมกราคมเข้าสู่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ เจ้าหน้าที่ซึ่งมีความใกล้ชิดกับรายงานกล่าว ในเวลานั้น ส่วนใหญ่ของการรายงานข่าวกรอง ซึ่งรวมอยู่ในเอกสารสรุปรายวัน และการประชุมย่อจากสำนักงานผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติ และ CIA ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 ทั้งสิ้น เจ้าหน้าที่ได้อ่านรายงานเปิดเผย

คำเตือนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของ วุฒิสภา Richard Burr ในการขายหุ้นกว่าหลายสิบหุ้น มูลค่าระหว่าง $ 628,033 และ $ 1.72 ล้าน ในฐานะประธานคณะกรรมการข่าวกรองของวุฒิสภา Burr ถือเป็นหนึ่งองคมนตรีที่สามารถเข้าถึงรายงานที่เป็นความลับเกือบทั้งหมดเกี่ยวกับไวรัสโคโรน่า ซึ่งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเขาได้ออกมาปกป้องตนเองว่าการเทขายหุ้นนั้นเป็นไปภายใต้การวิเคราะห์ข้อมูลสาธารณะที่ใครก็สามารถเข้าถึงได้ และเปิดกว้างให้คณะกรรมาธิการจริยธรรมวุฒิสภาตรวจสอบประเด็นดังกล่าว

เจ้าหน้าที่ในปัจจุบัน และอดีต ซึ่งคุ้นเคยกับกระบวนการเหล่านี้ชี้ว่า ภารกิจสำคัญสำหรับนักวิเคราะห์ ในช่วงระบาดของโรค คือการพิจารณาว่าเจ้าหน้าที่ต่างประเทศ กำลังพยายามลดผลกระทบของการระบาด หรือกำลังเดินหน้าเข้าสู่แผนการปิดบังวิกฤตด้านสุขภาพของประชาชน

ในขณะที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐได้เฝ้าติดตามสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสอย่างวิตกกังวล นับตั้งแต่ได้รับรายงาน โดยเจ้าหน้าที่รายหนึ่งเปิดเผยว่า ได้มีการหารือกันในสัปดาห์ที่สามของเดือนมกราคม ซึ่งเป็นช่วงที่เจ้าหน้าที่การทูตสหรัฐฯในหวู่ฮั่นถูกนำตัวกลับประเทศ ด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลำ – นี่คือสัญญาณที่ชี้ว่า ความเสี่ยงด้านสาธารณสุขมีนัยสำคัญ

ด้านทำเนียบขาว ที่ปรึกษาทั้งหลายของทรัมป์ต้องเผชิญกับความยากลำบากในความพยายามโน้มนำให้ทรัมป์ปฏิบัติอย่างจริงจังกับไวรัสนี้ ตามที่ระบุโดยเจ้าหน้าที่หลายราย ที่รู้เห็นเกี่ยวกับการประชุมระหว่างที่ปรึกษาและประธานาธิบดี

เจ้าหน้าที่บริหารอาวุโสสองคนบอกว่า Alex Azar ไม่สามารถเข้าถึงทรัมป์เพื่อพูดคุยกับเขาเกี่ยวกับไวรัสนี้ได้เลย จนกระทั่งวันที่ 18 มกราคม เมื่อเขาสามารถติดต่อกับทรัมป์ได้ทางโทรศัพท์ แม้กระนั้น ประธานาธิบดีก็พูดสอดแทรกเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า และถามว่า เมื่อไหร่ที่บุหรี่ไฟฟ้าแต่งรส จะกลับคืนสู่ตลาด – เจ้าหน้าที่บริหารอาวุโสกล่าว

เมื่อวันที่ 27 มกราคม ทหารองครักษ์ทำเนียบขาวหลายราย พร้อมกับ Mick Mulvaney หัวหน้าเสนาธิการประจำทำเนียบขาว ซึ่งทำหน้าที่รักษาการในตำแหน่งนั้น ได้พยายามติดต่อกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของคณะรัฐบาลเพื่อเรียกร้องให้เพ่งความสนใจในการรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัส เช่นเดียวกับ Joe Grogan หัวหน้าสภานโยบายภายในแห่งทำเนียบขาว ก็เรียกร้องไปยังคณะทำงานทรัมป์ว่าจำเป็นต้องเอาจริงเอาจังกับการรับมือการแพร่ระบาดของไวรัส มิเช่นนั้นอาจต้องเดิมพันด้วยผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งหน้าที่อาจพ่ายแพ

จากนั้น Mulvaney จึงเริ่มจัดการประชุมทั่วไปเพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นของการบรรยายสรุป เจ้าหน้าที่กล่าวว่า ทรัมป์ยังคงเมินเฉย เพราะเขาไม่เชื่อว่าไวรัสได้แพร่ระบาดไปทั่วสหรัฐอเมริกาแล้ว

อ้างจากผู้ที่ได้พูดคุยกับ Grogan โดยตรง ระบุว่า ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ Grogan และคนอื่น ๆ กังวลว่า ชุดทดสอบการติดเชื้อไวรัสโคโรน่ามีไม่เพียงพอสำหรับการกำหนดอัตราการติดเชื้อ เจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ รวมถึง Matthew Pottinger รองที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดี เริ่มเรียกร้องให้มีมาตรการรับมือที่หนักแน่นมากยิ่งขึ้น ตามการบอกเล่าของผู้รับฟังการบรรยายสรุปการประชุมทำเนียบขาว

แต่ทรัมป์ก็ยังคงคัดค้าน และให้การรับรองแก่ชาวอเมริกันอย่างต่อเนื่องว่า ไวรัสโคโรน่า จะไม่ออกอาละวาดเหมือนที่เกิดขึ้นในประเทศอื่นๆ

“ผมคิดว่ามันจะเป็นไปอย่างดี” ทรัมป์กล่าวเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ “ผมคิดว่า (มันจะเป็นไปอย่างดี) เมื่อเราเข้าสู่เดือนเมษายน ในสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น ที่ซึ่งมีผลกระทบในทางลบกับกรณีนี้ และกับไวรัสชนิดนั้น”

“ไวรัสโคโรน่า อยู่ภายใต้การควบคุมในสหรัฐอเมริกา” ทรัมป์ทวีตอีกห้าวันต่อมา “ตลาดหุ้นเริ่มที่จะดูดีสำหรับผม!”

ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุขได้เปิดเผยข้อมูลแก่คณะกรรมาธิการข่าวกรองวุฒิสภาว่า มีเจ้าหน้าที่สหรัฐ 4 คนปกปิดข้อมูลการแพร่ระบาดโคโรน่าไวรัสและผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อโลก

Robert Kadlec ผู้ช่วยเลขานุการ สำหรับการเตรียมพร้อมและการตอบโต้ ร่วมด้วยกับเจ้าหน้าที่ข่าวกรอง รวมทั้งจาก CIA บอกกับสมาชิกคณะกรรมการว่า ไวรัสก่อให้เกิดภัยคุกคาม “ร้ายแรง” เจ้าหน้าที่รายหนึ่งกล่าว

Kadlec ไม่ได้ให้คำแนะนำที่เฉพาะเจาะจง แต่เขาบอกว่า ในการจะเอาชนะไวรัส และผลกระทบของมัน ชาวอเมริกันจะต้องดำเนินการต่างๆ ที่อาจทำให้วิถีชีวิตประจำวันของพวกเขามีความยุ่งยากได้ “มันน่าตกใจมาก”

การยืนกรานของทรัมป์ในทางตรงกันข้าม ดูเหมือนจะเป็นการวางใจอยู่ในความสัมพันธ์ของเขากับประธานาธิบดีจีน สีจิ้นผิง ซึ่งทรัมป์เชื่อว่าจะให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือแก่เขา เกี่ยวกับการแพร่กระจายไวรัสในประเทศจีน แม้จะมีรายงานจากสำนักข่าวกรองว่า ทางการของจีน มิได้เปิดเผยขนาดที่แท้จริงของวิกฤตอย่างตรงไปตรงมาก็ตาม

ตามที่ระบุโดยเจ้าหน้าที่จากคณะบริหาร ที่ปรึกษาของทรัมป์บางคนบอกเขาว่า ปักกิ่งไม่ได้ให้ข้อมูลจำนวนคนที่ติดเชื้อ หรือเสียชีวิตอย่างถูกต้อง แทนที่จะกดดันจีนเพื่อเตรียมความพร้อม ทรัมป์กลับชื่นชมต่อการตอบสนองของจีน

“จีนทำงานอย่างหนักเพื่อควบคุมไวรัสโคโรน่า” ทรัมป์ทวีตวันที่ 24 มกราคม “สหรัฐฯชื่นชมความพยายาม และความโปร่งใสของพวกเขาเป็นอย่างมาก มันจะดำเนินไปอย่างดีทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในนามของคนอเมริกัน ผมต้องการ ขอบคุณประธานาธิบดี สี (สีจิ้นผิง)!”

ที่ปรึกษาของทรัมป์บางคนสนับสนุนให้เขาเข้มงวดมากขึ้นกับการตัดสินใจของจีน ที่จะไม่อนุญาตให้ทีมจาก CDC เข้ามาในประเทศ เจ้าหน้าที่บริหารกล่าว

ในการพบกันครั้งหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ ประธานาธิบดีกล่าวว่า หากเขาใช้เสียงที่เข้มงวดกว่าเดิมกับสีจิ้นผิง ชาวจีนจะมีความเต็มใจน้อยลง ในการให้ข้อมูลแก่ชาวอเมริกันเกี่ยวกับวิธีที่พวกเขารับมือกับโรคระบาด

ทรัมป์ เมื่อวันที่ 3 ก.พ. ได้ออกคำสั่งแบนด์ ห้ามชาวต่างชาติที่เคยอยู่ในประเทศจีนในช่วง 14 วันก่อนหน้าเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่ง ที่เขามักให้เครดิตว่า มีไว้เพื่อช่วยปกป้องคนอเมริกันจากไวรัส เขายังกล่าวต่อสาธารณชนว่า จีนไม่ได้ซื่อสัตย์เกี่ยวกับผลกระทบของไวรัส แต่การแบนด์การเดินทางนั้น ก็ไม่ได้มีมาพร้อมกับขั้นตอนที่สำคัญเพิ่มเติม เพื่อเตรียมความพร้อม สำหรับวันที่ไวรัสได้แพร่เชื้อสู่ประชาชนจำนวนมากในสหรัฐอเมริกาแล้วในท้ายที่สุด

ดังที่โรคระบาด ได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศจีน หน่วยงานสายลับของสหรัฐอเมริกาได้ติดตามการระบาดในอิหร่าน เกาหลีใต้ ไต้หวัน อิตาลี และที่อื่น ๆ ในยุโรป เจ้าหน้าที่ที่ใกล้ชิดกับรายงานดังกล่าว กล่าว ข้อมูลส่วนใหญ่มาจากแหล่งข้อมูลสาธารณะ รวมถึงรายงานข่าว และแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่มีนัยสำคัญ ซึ่งได้มาจากแหล่งข่าวกรองลับ

เมื่อการติดเชื้อรายแรกได้รับการยืนยันในสหรัฐอเมริกา ทรัมป์ยังคงยืนยันว่าความเสี่ยงต่อชาวอเมริกันมีเพียงเล็กน้อย

“ผมคิดว่าไวรัสจะเป็นไป.. จะเป็นไปอย่างดี” เขากล่าวเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์

“เรามีผู้คนจำนวนน้อยมากในประเทศ ในตอนนี้ ที่ได้รับเชื้อ” เขากล่าวในอีกสี่วันต่อมา “มันน่าจะอยู่ที่ประมาณ 12 ราย ผู้ติดเชื้อหลายราย เริ่มดีขึ้นแล้ว บางคนก็ฟื้นตัวเต็มที่แล้ว ดังนั้นเราจึงอยู่ในสภาพที่ดีมาก”

ตามที่ระบุโดยเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโสสองคน เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ Nancy Messonnier เจ้าหน้าที่อาวุโสของ CDC ออกแถลงการณ์ ที่ฟังดูเหมือนจะเป็นสัญญาณเตือนภัยสาธารณะ และจุดเปลี่ยนที่สำคัญของสหรัฐ เมื่อเธอบอกกับผู้สื่อข่าวว่า ไวรัสโคโรน่ามีแนวโน้มที่จะแพร่ระบาดในชุมชนต่างๆในสหรัฐแล้ว และการหยุดชะงักที่จะส่งผลต่อวิถิชีวิตประจำวันของชาวอเมริกัน ก็เป็นไปได้ว่าจะ “รุนแรง”  ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ได้เรียก Azar รมว.สาธารณสุขสหรัฐเข้าพบเพื่อตำหนิว่า Messonnier กำลังทำให้ตลาดหุ้นเกิดความตื่นตระหนกที่สำคัญที่สุด

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์เริ่มเปลี่ยนท่าทีของเขาในท้ายที่สุด หลังพบสถิติการแพร่ระบาดของไวรัสจากประเทศต่างๆ ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และเมื่อได้รับฟังรายงานโดยตรงจาก Deborah Birx คณะทำงานผู้รับผิดชอบเรื่องโคโรน่าไวรัสของทำเนียบขาว และจากผู้บริหารระดับสูงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

แต่ถึงเวลานี้ สัญญาณที่บ่งชี้ว่ามีการระบาดครั้งใหญ่ ก็ได้กระจายไปทั่วประเทศสหรัฐแล้ว

 

The Washington Post’s Yasmeen Abutaleb contributed to this report.

Posted: March 20, 2020 – 9:07 PM

Shane Harris, Greg Miller, Josh Dawsey and Ellen Nakashima, Washington Post

source: https://www.inquirer.com