สหรัฐฯ โจมตีทางอากาศทั่วโลก คร่าชีวิตพลเรือนไปแล้วกว่านับหมื่นราย

29

รายงานระบุว่าพลเรือนอย่างน้อย 22,000 คน ถูกสังหารในการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ และอาจมากถึง 48,000 คน นับตั้งแต่เหตุการณ์การโจมตี 9/11 และเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีที่สหรัฐฯ ไม่อยู่ในภาวะสงคราม โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวสุนทรพจน์ต่อสหประชาชาติเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาตามคำกล่าวของสื่อ “ฮิลล์”  ระบุว่าคำกล่าวของไบเดน นั้นห่างไกลจากความจริง เนื่องจากสหรัฐอเมริกาปฏิบัติการในหลายประเทศ

ลองนึกภาพสิ่งนี้ ในย่านชนชั้นแรงงานซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสนามบินนานาชาติลอสแองเจลิส มีพ่อคนหนึ่งวัย 40 ปีกลับบ้านจากที่ทำงาน  ขณะที่เขาขับรถไปที่ลานจอดรถ ลูกๆของเขาก็เข้ามาต้อนรับ  ทันใดนั้นโดรนก็ยิงขีปนาวุธใส่บ้านของเขา  ทำให้คร่าชีวิตผู้คนไป 10 ศพ โดยในจำนวนนี้มีเจ็ดคนเป็นเด็ก และห้าคนในนั้นอายุต่ำกว่า 5 ขวบ  ประธานาธิบดีของประเทศที่ดำเนินการโจมตีครั้งนี้ในขั้นต้นอ้างว่าเป้าหมายของการโจมตีเป็นผู้ก่อการร้าย แต่ภายหลังยอมรับว่านี่เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่และผู้ที่ตกเป็นเหยื่อล้วนเป็นพลเรือนผู้บริสุทธิ์เท่านั้น

ภาพเหล่านี้ คือสิ่งที่เกิดขึ้นในอัฟกานิสถาน โดยที่มีความต่างที่ว่าเป็นโดรนของอเมริกา และเหยื่อคือชาวอัฟกัน

นี่ไม่ใช่ประเด็นหัวข้อใหม่ เพราะเรื่องเดียวกันนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า: ขบวนงานแต่งในเยเมน งานเลี้ยงอาหารค่ำของครอบครัวในโซมาเลีย ผู้คนที่ทำงานในฟาร์มของปากีสถาน

พลเรือนอย่างน้อย 22,000 คนถูกสังหารในการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ นับตั้งแต่ 9/11

ทุกวันนี้ บุคลากรทางทหารของสหรัฐฯ กำลังปฏิบัติการทางทหารในอิรัก ซีเรีย เยเมน โซมาเลีย เคนยา ไนเจอร์ ฟิลิปปินส์ และในอัฟกานิสถาน และนี่เป็นสถานที่เดียวที่เรารู้จัก มีข้อมูลสาธารณะเพียงเล็กน้อยและการเฝ้าระวังอย่างจำกัดของสงครามแบบลับๆของโดรนของ CIA

แล้วเหล่านี้จะไม่ถือว่าเป็นสงครามได้อย่างไร? และทำไมคนผิวสีถึงตกเป็นเป้าหมายเสียส่วนใหญ่?

หากประเทศอื่นวางระเบิดสหรัฐ สหรัฐอเมริกาจะประกาศให้เป็นสงครามทันที

สภาคองเกรสและคนอเมริกันต้องเผชิญกับความจริงว่า สงครามต่อต้านการก่อการร้ายเป็นความอัปยศทางศีลธรรม ความล้มเหลวทางยุทธศาสตร์ และภัยพิบัติของมนุษย์

ผลพวงของเหตุการณ์ 9/11 คร่าชีวิตผู้คนมากกว่า 929,000 คน บังคับให้ผู้คนอย่างน้อย 38 ล้านคนต้องหนีออกจากบ้าน และทำให้ผู้เสียภาษีชาวอเมริกันต้องเสียค่าภาษีมากกว่า 8 ล้านล้านดอลลาร์

ในเวลาเดียวกัน จำนวนกลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธได้เพิ่มขึ้นมากขึ้น และความท้าทายระดับโลกที่สำคัญกว่านั้นมาก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความอยุติธรรมทางเชื้อชาติ และความไม่เท่าเทียมกันอย่างสุดขั้วก็ยังไม่ได้รับความสนใจมากนัก

ตามที่อัยการสูงสุดและรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิเปิดเผยนั้น ภัยคุกคามภายที่ใหญ่ที่สุดโดยสหรัฐฯ เผชิญอยู่นั้นมาจากพวกหัวรุนแรงผิวขาวที่นิยมความรุนแรง

source:https://www.theguardian.com

https://www.mizan.news