ในขณะที่ชาวอเมริกันหลายล้ านคนเตรียมความพร้อมในช่วงนี้ เพื่อเข้าสู่เทศกาลวันหยุด โดยเริ่มจากวัน Thanksgiving (วันขอบคุณพระเจ้า) แต่จะมีสักกี่คน ที่เตรียมต้อนรับเทศกาลนี้ ผ่านมุมมองที่ถูกต้องตามความเป็ นจริงในประวัติศาสตร์?
สำหรับชาวอเมริกันจำนวนมาก วันหยุดดังกล่าว ทำหน้าที่เสมือนเครื่องเตื อนความจำ เพื่อให้หวนขอบคุณพระเจ้า ทว่าวันดังกล่าว มิใช่วันแห่งความสุขสำหรับทุ กคนเสมอไป จะเห็นได้ว่า มันคือวันแห่งการไว้ทุกข์ สำหรับอีกหลายชีวิตนับไม่ถ้วน เพราะตามความเป็นจริง วันนี้คือวันที่ผู้อพยพชาวยุ โรปฆ่าชนพื้นเมืองอเมริกัน (อินเดียนแดง) และละเมิดขโมยที่ดินของพวกเขา อย่างโหดร้ายทารุณ
ดังนั้น สิ่งที่เด็กอเมริกันถูกสอนเกี่ ยวกับเทศกาล “ขอบคุณพระเจ้า” จึงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง
สิ่งที่ชาวอเมริกันเรียนรู้:
Thanksgiving เป็นวันที่ผู้แสวงบุญ และผู้อพยพได้หนีรอดออกจากยุโรป ก่อนจะมุ่งหน้าไปตั้งถิ่นฐานใน Plymouth Rock โดยมีชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ ที่นั่น สอนพวกเขาถึงวิธีการทำไร่ ไถนา พวกเขาทั้งหมดนั่งร่วมกันสำหรั บการทานอาหารมื้อใหญ่ในปี 1621 และทุกคนก็อาศัยอยู่อย่างมี ความสุขตลอดกาลในประเทศสหรั ฐอเมริกา
ความเป็นจริง
อันที่จริง มันคือจุดเริ่มต้นของการฆ่าล้ างเผ่าพันธุ์ชาวพื้นเมือง Wampanoag !!
ขณะที่ บางส่วนจากสิ่งที่ผู้ล่าอาณานิ คมกระทำต่อพวกเขา ได้แก่ :
– นำพาไข้ทรพิษมาสู่พวกเขา
– ช่วงชิงที่ดินด้วยการเรียกค่ าปรับจำนวนมาก
– กำจัดแหล่งอาหารดั้งเดิม
ดังนั้น มันจึงไม่ใช่การรวมตัวอย่างมี ความสุข แต่มันเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
- ในปี ค.ศ. 1678 ร้อยละ 40 % ของชาวWampanoag ถูกฆ่าตาย ในสงครามของกษัตริย์ฟิลิปผู้คนของพวกเขา ลดน้อยลงจาก 69 ชุมชน เหลือเพียง 3 ชุมชนในศตวรรษต่อมา
- บางรายงาน กล่าวว่า วันขอบคุณพระเจ้า เกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อข้าหลวง John Winthrop ได้ประกาศให้มีการแสดงความขอบคุ
ณอย่างเป็นทางการ เพื่อเฉลิมฉลองให้แก่การสั งหารหมู่ ชนเผ่า Pequot รวมเด็ก และสตรี กว่า 700 ชีวิต เหตุการณ์นี่เอง ที่เป็นจุดเริ่มต้ นของความสยดสยอง ที่ไม่เป็นที่กล่ าวขานของเทศกาลวันหยุด ซึ่งแผ่ขยายและได้รับความนิ ยมจวบจนถึงทุกวันนี้ – “นับแต่นี้เป็นต้นไป วันนี้จะเป็นวันแห่งการเฉลิ มฉลองและขอบพระคุณสำหรับการพิชิ ตชัยเหนือชนเผ่า Pequots” – ตามที่ระบุไว้ในคำประกาศ - และถึงแม้เวลาจะผ่านไปแล้
วหลายศตวรรษ แต่ทว่าชนพื้นเมืองอเมริกัน ก็ยังคงเผชิญกับความไม่เท่าเที ยม จนถึงทุกวันนี้ - ในปี 2018 มีชนพื้นเมืองอเมริกัน อยู่ในภาวะยากจนมากถึง 25.4% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงที่สุด เมื่อเทียบกับชนกลุ่มน้อยใดๆ ในประเทศ
- เขตสงวน ที่พวกเขาอยู่อาศัย ถูกใช้เป็นที่ทิ้งขยะอันตราย (ขยะมีพิษ) หรือขยะนิวเคลียร์
ชายชนพื้นเมืองถูกคุมขังในอั ตรา 4 เท่าของชายผิวขาว ส่วนหญิงชนพื้นเมือง ก็ถูกจองจำในอัตรา 6 เท่าของหญิงผิวขาว และถึงกระนั้น ก็ยังไม่มีการชดใช้ใดๆ ให้กับชนพื้นเมือง
ประสบการณ์ที่ชนพื้นเมื องอเมริกัน และชาวปาเลสไตน์ มีร่วมกัน
ในปัจจุบัน เมื่อกล่าวถึงกรณีการถูกกดขี่ ของชนพื้นเมือง เป็นไปไม่ได้เลย ที่เราจะไม่นึกถึงชาวปาเลสไตน์ ตามที่พวกเขา คือ ชนพื้นเมืองที่ยังคงถู กอธรรมและกดขี่จากนักล่าอาณานิ คม หรือผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอิ สราเอลอย่างผิดกฎหมาย และท่ามกลางเสียงเงียบงั นขององค์กรสิทธิมนุ ษยชนสองมาตรฐานของชาวตะวันตก ที่มักอ้างถึงการเผยแพร่เสรีภาพ และปกป้องสันติภาพ ในขณะที่ความเป็นจริง กลับไม่ได้สะท้อนถึงสโลแกนดั งกล่าวแต่ประการใด
ชนพื้นเมืองอเมริกัน และชาวปาเลสไตน์ต่างก็เป็นชนพื้ นเมืองที่ต่อสู้เพื่อเอาชีวิ ตรอดจากการช่วงชิง และละเมิดดินแดนของพวกเขาอย่ างรุนแรง หรือตามที่เรียกกันว่า “การล่าอาณานิคม”
แม้ว่าประสบการณ์ของพวกเขาทั้ งสองจะไม่เหมือนที่แห่งใด ทว่าในฐานะที่เป็นเหยื่ อของการล่าอาณานิคม พวกเขาต่างต้องทุกข์ทนกับการต่ อสู้ที่คล้ายคลึงกัน
- ทั้งสอง ตกเป็นเหยื่อของการสังหารหมู่
ในอเมริกาเหนือ ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยุโรปได้สั งหารชนพื้นเมืองอเมริกัน มากถึง 90% โดยการสังหารหมู่ ขโมยทรัพยากรของพวกเขา และมีส่วนร่วมในสงครามชีวภาพ เช่น การจงใจแพร่เชื้อโรคไปยังคนพื้ นเมืองด้วยโรคร้ายแรง
ในปี 1948 ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอิสราเอลสั งหารหมู่ชาวปาเลสไตน์ — เป็นเหตุทำให้ชาวปาเลสไตน์กว่า 75% จำเป็นต้องหลบหนีไป — ซึ่งถือเป็นการเปิดทางให้มี การช่วงชิงที่ดินของพวกเขา และก่อตั้งรัฐอิสราเอล
- ทั้งสองถูกขโมยที่ดินเกือบทั้
งหมด
สหรัฐฯ ขโมยดินแดนกว่า 98% ของชนพื้นเมืองอเมริกัน
ขณะเดียวกัน อิสราเอลก็ขโมยดิ นแดนของชาวปาเลสไตน์ไปกว่า 85%
- ทั้งสองต้องทนต่อความพยายาม ในการลบล้างอัตลักษณ์ และวัฒนธรรมของพวกเขา โดยเจตนา
สหรัฐอเมริกาและอิสราเอล ได้พยายามกำจัดชนพื้นเมืองอเมริ กัน และชาวปาเลสไตน์ โดยทางภาษา ประวัติศาสตร์ ประเพณี อาหาร สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และอื่นๆ ตามลำดับ เพื่อแยกพวกเขาออกจากกัน และออกจากดินแดนของพวกเขา
- ทั้งสอง ยังคงทุกข์ทนจากความรุนแรงที่
กระทำโดยผู้ล่าอาณานิคม แม้กระทั่งในทุกวันนี้
ชนพื้นเมืองอเมริกัน เป็นหนึ่งในกลุ่มเชื้อชาติที่มี แนวโน้มจะถูกตำรวจฆ่าตายมากที่ สุด ในสหรัฐอเมริกา
ขณะเดียวกัน ในปาเลสไตน์ ทหารอิสราเอลสังหารชาวปาเลสไตน์ แทบทุกวัน กองทัพอิสราเอลสั งหารชาวปาเลสไตน์เกือบ 200 คนในปีนี้ เพียงปีเดียว
- ทั้งสองถูกบังคับให้อยู่
ในสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่เท่ าเทียม และไม่ปลอดภัย
สหรัฐฯ ได้ผลักไสชนพื้นเมืองอเมริกั นให้อยู่ในพื้นที่เล็กๆ ที่แยกตัวออกมา เรียกว่า เขตสงวน ซึ่งพวกเขาขาดแคลนที่อยู่อาศัย การรักษาพยาบาล โอกาสทางเศรษฐกิจ และอื่นๆ ที่เท่าเทียม
นอกเหนือจากการยัดเยียดให้ ชาวปาเลสไตน์อยู่ภายใต้ ระบบการแบ่งแยกเชื้อชาติที่รุ นแรง อย่างเหี้ยมโหดแล้ว อิสราเอลยังบังคับให้ ชาวปาเลสไตน์อาศัยในย่านแออัด ที่มีผู้คนหนาแน่น และมีกำแพงล้อมรอบ เพื่อที่จะแย่งชิงที่ดิ นของพวกเขาให้แก่ชาวอิสราเอลที่ เข้ามาตั้งถิ่นฐานอย่างผิ ดกฎหมาย
- ทั้งสองถูกกีดกันจากทรั
พยากรธรรมชาติและสิ่งจำเป็นพื้ นฐาน
ในเขตสงวน ชาวพื้นเมืองอเมริกันมั กขาดแคลนน้ำสะอาด ไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต และทรัพยากรพื้นฐานอื่นๆ
ในฉนวนกาซา อิสราเอลกีดกันชาวปาเลสไตน์ จากน้ำสะอาด ไฟฟ้า การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต และอื่นๆ เช่นเดียวกัน
ความคล้ายคลึงกันเหล่านี้ ถูกออกแบบมาอย่างจงใจ
สหรัฐอเมริกา และอิสราเอลได้ทำร้ายชนพื้นเมื
ในปัจจุบัน และในทุกๆวัน ชนพื้นเมืองตั้งแต่อเมริกาเหนือ ไปจนถึงปาเลสไตน์ และที่อื่น ๆ กำลังต่อต้านการล่าอาณานิคมอย่ างต่อเนื่อง
เราขอยืนหยัดร่วมกับชนพื้นเมื
ในการตระหนักถึงความคล้ายคลึงกั
แม้จะต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมอั นโหดร้ายทารุณ ที่ทั้งสองชุมชนรอดชีวิตมาได้ แต่พวกเขาก็ยังคงต้องต่อสู้ เพื่อสิทธิในการอยู่อาศัยบนแผ่ นดินของตนอย่างปลอดภัย และเป็นอิสระ
__________
Source: IMEU and The impact