เหตุใดชื่อเสียงของคนดังจึงกลายเป็นจุดสนใจของสังคมเมื่อพวกเขาทำผิดพลาด

9
ในสังคมปัจจุบัน การที่เหล่าคนดังหรือผู้มีชื่อเสียงทำผิดพลาดหรือกระทำสิ่งที่ผิดกฎหมายมักจะได้รับความสนใจอย่างมากจากมวลชน มากกว่ากรณีของบุคคลธรรมดาที่ไม่มีชื่อเสียง เหตุการณ์เหล่านี้มักกลายเป็นประเด็นร้อนในสื่อและถูกพูดถึงในวงกว้างอยู่เสมอ เกิดคำถามที่น่าสนใจว่า ทำไมความผิดพลาดของคนดังจึงเป็นที่จับตามองและพูดถึงมากกว่าเหตุการณ์ที่คล้ายกันของบุคคลทั่วไป? และทำไมสังคมออนไลน์มักชื่นชอบและให้ความสนใจกับเรื่องไม่ดีหรือความผิดพลาดของคนดังมากกว่าเรื่องดีๆ ของพวกเขา?
  1. การสร้างตัวตนในที่สาธารณะ

คนดังมักถูกคาดหวังให้เป็นตัวแทนของคุณค่าหรืออุดมคติบางอย่างในสังคม เช่น ความสำเร็จ ความงาม ความซื่อสัตย์ หรือการเป็นแบบอย่างที่ดี เมื่อพวกเขาทำผิดพลาดหรือกระทำสิ่งที่ขัดต่อมาตรฐานเหล่านั้น เรื่องราวของพวกเขาจึงกลายเป็นประเด็นที่มวลชนให้ความสนใจในฐานะ “สิ่งขัดแย้งในตัวเอง” สังคมมักเปรียบเทียบระหว่างภาพลักษณ์ที่คนดังได้สร้างไว้กับการกระทำของพวกเขา การเห็นภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบถูกทำลาย จึงกลายเป็นเรื่องที่น่าดึงดูดและกระตุ้นความสนใจของมวลชน

  1. การเฝ้าระวังผ่านชื่อเสียง

ชื่อเสียงเป็นเหมือนเครื่องมือในการควบคุมพฤติกรรมของบุคคลผ่านการเฝ้าระวังของสังคม คนดังมักอยู่ในสายตาของสาธารณชนและต้องรักษาภาพลักษณ์ของตนเสมอ เมื่อพวกเขาทำผิดพลาด การที่สังคมจับตามองพฤติกรรมของพวกเขาและวิจารณ์อย่างหนักทำให้เรื่องราวดังกล่าวแพร่หลายและมีความสำคัญมากกว่ากรณีของบุคคลธรรมดาที่ไม่อยู่ในสายตาของมวลชน นี่เป็นหนึ่งในกลไกของสังคมที่ใช้การเฝ้าระวังและการตัดสินใจผ่านชื่อเสียง

  1. สื่อมวลชนและการเผยแพร่ความรู้

สื่อมีบทบาทสำคัญในการผลิตและเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับผู้มีชื่อเสียง เมื่อพวกเขาทำผิดพลาด สื่อมักจะขยายเรื่องราวนั้นออกไปเพื่อสร้างความสนใจจากผู้ชม การเผยแพร่เรื่องราวความผิดพลาดของคนดังมีความสามารถในการกระตุ้นความสนใจของผู้บริโภคข่าวได้มากกว่าเรื่องดีๆ หรือความสำเร็จของพวกเขา เพราะคนทั่วไปมักรู้สึกถึงความตื่นเต้นในการเห็นคนดังล้มเหลว การที่สื่อสามารถนำเสนอเรื่องราวความผิดพลาดของคนดังให้เป็นเรื่องใหญ่ ทำให้เรื่องเหล่านั้นเป็นจุดสนใจของมวลชน

  1. การลงโทษทางสังคม

ในสังคมสมัยใหม่ การลงโทษไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ในกระบวนการกฎหมายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์และการประณามในที่สาธารณะผ่านโซเชียลมีเดียด้วย การเห็นคนดังทำผิดพลาดมักสร้างความสะใจให้กับผู้คนที่รู้สึกว่าระบบหรือบุคคลที่ดูสูงส่งนั้นถูกท้าทาย สังคมจึงลงโทษพวกเขาผ่านการแสดงความคิดเห็นและการวิพากษ์วิจารณ์บนโซเชียลมีเดีย เรื่องราวไม่ดีมักถูกแชร์และแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นกระบวนการของการลงโทษทางสังคมที่รุนแรงกว่าบุคคลทั่วไป

  1. ความสนใจในเรื่องราวที่ขัดกับอุดมคติ

เรื่องราวความผิดพลาดของคนดังมักน่าสนใจมากกว่าเรื่องดีๆ เพราะเป็นสิ่งที่ขัดกับอุดมคติและความสมบูรณ์แบบที่สังคมคาดหวัง เมื่อเกิดข้อผิดพลาด คนดังจึงดูเหมือนตกจากฐานะที่สูงและเปิดเผยด้านที่ไม่ดี ซึ่งสร้างความตื่นเต้นและความสนใจมากกว่าการเน้นไปที่เรื่องดีๆ ของพวกเขา นี่สะท้อนถึงการที่สังคมชอบเห็นการท้าทายต่อระบบและการล่มสลายของความสมบูรณ์แบบ และมันยังเป็นยังเป็นการตอกย้ำให้มวลชนตื่นจากมายาคติที่กล่อมให้พวกเขาคิดไปเองว่า “ความมดัง ชื่อเสียง สถานะและทรัพย์ที่เกิดจากมัน เป็นความสมบูรณ์แบบปลอมๆ ที่ไม่สามารถมอบความสำเร็จได้อย่างแท้จริง

ชื่อเสียงที่แท้จริงของมนุษย์ในทัศนะของอิสลาม

ในมุมมองของศาสนาอิสลาม “ชื่อเสียง” (الشهرة) ไม่ได้ถูกวัดด้วยทรัพย์สิน สถานะทางสังคม หรือการยกย่องจากผู้อื่น แต่ชื่อเสียงที่แท้จริงอยู่ที่ ความยำเกรง (التقوى) ต่ออัลลอฮ์และการกระทำที่มีเจตนาบริสุทธิ์เพื่อพระองค์ แม้ชื่อเสียงจะนำมาซึ่งเกียรติยศในทางโลก แต่ถ้าหากชื่อเสียงนั้นถูกใช้หรือแสวงหาโดยไม่คำนึงถึงคุณธรรม ก็จะไม่มีคุณค่าในทัศนะของอัลลอฮ์เลย

  1. ความยำเกรง:เกียรติที่แท้จริงในสายตาของอัลลอฮ์

ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับการที่อัลลอฮ์ทรงประเมินมนุษย์ไม่ใช่ตามรูปลักษณ์ภายนอกหรือทรัพย์สินว่า:

إِنَّ اللَّهَ لَا يَنْظُرُ إِلَى صُوَرِكُمْ وَلَا إِلَى أَمْوَالِكُمْ وَلَكِنْ يَنْظُرُ إِلَى قُلُوبِكُمْ وَأَعْمَالِكُمْ

“แท้จริงแล้ว อัลลอฮ์ไม่ทรงมองดูรูปลักษณ์ภายนอกของพวกท่านและไม่ทรงมองดูทรัพย์สินของพวกท่าน แต่พระองค์ทรงมองที่หัวใจและการงานของพวกท่าน” (นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์, คำกล่าวที่ 45)

ฮะดิษนี้สอนให้เราเข้าใจว่า ชื่อเสียงในสายตาของอัลลอฮ์ขึ้นอยู่กับความยำเกรงและการกระทำที่บริสุทธิ์จากหัวใจ ไม่ใช่สิ่งภายนอกที่มนุษย์เห็นว่าเป็นความสำเร็จหรือสถานะทางสังคม

  1. ชื่อเสียงและความยำเกรงในทัศนะของอิมามอาลี(อ.)

อิมามอาลี (อ.) ได้กล่าวถึงผลกระทบของการแสวงหาชื่อเสียงว่า:

مَنْ طَلَبَ الشُّهْرَةَ هَلَكَ

“ผู้ใดที่แสวงหาชื่อเสียง เขาจะพินาศ”(นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์, คำสอนที่ 96)

คำกล่าวนี้เตือนเราว่า การแสวงหาชื่อเสียงที่ไม่คำนึงถึงคุณธรรมและความยำเกรงจะนำมาซึ่งความพินาศ อิมามอาลี(อ)เน้นว่า ชื่อเสียงที่แสวงหาเพื่อความยกย่องจากผู้อื่นแทนที่จะมุ่งหวังการยอมรับจากอัลลอฮ์ จะทำให้บุคคลนั้นสูญเสียความสำเร็จทางศาสนาในท้ายที่สุด

  1. ชื่อเสียงในวันแห่งการพิพากษา

ในอิสลาม การประเมินชื่อเสียงในวันแห่งการพิพากษาไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่มนุษย์เห็นในทางโลก แต่ขึ้นอยู่กับความยำเกรงและการกระทำที่มีเจตนาบริสุทธิ์ต่ออัลลอฮ์ พระองค์อัลลอฮ์ทรงตรัสไว้ในอัลกุรอานว่า:

«إِنَّ أَكْرَمَكُمْ عِندَ اللَّهِ أَتْقَاكُمْ»

“แท้จริงแล้ว ผู้ที่ทรงเกียรติมากที่สุดในหมู่พวกเจ้าต่ออัลลอฮ์ คือผู้ที่ยำเกรงมากที่สุด” (อัลกุรอาน 49:13)

ความยำเกรงเป็นสิ่งที่นำพามนุษย์ไปสู่ความสำเร็จและเกียรติในสายตาของอัลลอฮ์ ซึ่งเป็นชื่อเสียงที่แท้จริงในโลกหน้า

  1. ผลกระทบของการแสวงหาชื่อเสียงในทางที่ผิด

อิมามญะอ์ฟัร อัศศอดิก (อ.) กล่าวว่า:

لَا تَطْلُبِ الشُّهْرَةَ فَتَهْلِكَ

“จงอย่าแสวงหาชื่อเสียง เพราะมันจะทำให้เจ้าพินาศ” (บิฮารุลอันวาร, เล่ม 72, หน้า 304)

อย่ามองหาชื่อเสียงจากมนุษย์ จงแสวงหาความพอพระทัยจากอัลลอฮ์ เพราะความพอพระทัยจากพระองค์เท่านั้นที่จะนำไปสู่ความสำเร็จทั้งในโลกนี้และโลกหน้า อิมามศอดิก(อ)ยังตือนถึงการแสวงหาชื่อเสียงที่มุ่งเพียงเพื่อความยกย่องจากผู้อื่น เพราะสิ่งนี้จะทำให้บุคคลสูญเสียคุณค่าในสายตาของอัลลอฮ์ การแสวงหาชื่อเสียงต้องมุ่งหวังความพอพระทัยจากพระองค์เท่านั้น

  1. การใช้ชื่อเสียงในทางที่ดี

อิมามฮูเซน (อ.) กล่าวถึงความสำคัญของการมีความยำเกรงและความรู้ในการนำทางผู้อื่น:

مَنْ كَانَ لَهُ عِلْمٌ وَتَقْوَى، يَكُونُ قُدْوَةً لِلنَّاسِ

“บุคคลที่มีความยำเกรงและความรู้ คือผู้ที่สามารถนำทางผู้อื่นไปสู่ความดี”(ตารีคอัตบารี, เล่ม 3, หน้า 317)

ชื่อเสียงที่ดีควรถูกใช้เพื่อส่งเสริมคุณธรรมและความยำเกรงต่ออัลลอฮ์ การเป็นตัวอย่างที่ดีในทางศาสนา และในทางคุณธรรมจึงเป็นเกียรติที่แท้จริงในอิสลาม

สรุป

ความผิดพลาดของคนดังมักได้รับความสนใจมากกว่าของบุคคลธรรมดาเพราะพวกเขาถูกคาดหวังให้เป็นตัวแทนของอุดมคติและภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ ชื่อเสียงทำให้พวกเขาอยู่ภายใต้การเฝ้าระวังของสังคมอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเกิดความผิดพลาด สื่อจะขยายเรื่องราวนั้นเพื่อสร้างความสนใจ มวลชนมักจะให้ความสำคัญกับการวิจารณ์และลงโทษคนดังทางสังคมมากกว่าเรื่องดีๆ ของพวกเขา เนื่องจากความผิดพลาดเป็นสิ่งที่ขัดกับภาพลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้น

ในอิสลาม ชื่อเสียงที่แท้จริงของมนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่วัดด้วยทรัพย์สินหรือความยกย่องในทางโลก แต่คือความยำเกรงต่ออัลลอฮ์และการกระทำที่บริสุทธิ์เพื่อพระองค์ บรรดาฮะดิษจากศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) และอิมามทั้งหลายเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาความยำเกรงในทุกการกระทำ ชื่อเสียงที่แท้จริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งภายนอกแต่ขึ้นอยู่กับความดีงามในหัวใจของบุคคล

ประมวลโองอัลกุรอ่านและอัลฮาดิษเกี่ยวกับเรื่องชื่อเสียง

1.ชื่อเสียงที่น่ายกย่อง

อัลกุรอาน:

  1. «وَ رَفَعْنا لَكَ ذِكْرَكَ»

“และเราได้ยกเกียรติของเจ้าให้สูงส่ง” (อัลอินชิรอห์ 94:4)

  1. «إِنَّ الَّذِينَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ سَيَجْعَلُ لَهُمُ الرَّحْمنُ وُدًّا»

“แท้จริงบรรดาผู้ที่ศรัทธาและกระทำความดี พระผู้ทรงเมตตาจะทรงบันดาลความรักให้แก่พวกเขา” (มัรยัม 19:96)

  1. «وَ اجْعَلْ لِي لِسانَ صِدْقٍ فِي الْآخِرِينَ»

“และขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์เป็นที่ยกย่องในหมู่ผู้ที่มาทีหลัง” (อัชชุอะรออ์ 26:84)

ชี้ให้เห็นว่าการมีชื่อเสียงและเกียรติยศที่แท้จริงในอิสลามมาจากการกระทำความดีตามที่อัลลอฮ์ทรงชอบธรรม การที่บ่าวมีความยำเกรงและทำตามคำสอนของพระองค์ จะทำให้เขาได้รับการยกย่องจากอัลลอฮ์และผู้ศรัทธาในหมู่มนุษย์

ฮะดิษ:

  1. ท่านศาสดา(ศ็อลฯ) กล่าวว่า:

«تَفَرَّغُوا مِن هُمومِ الدُّنيا ما استَطَعتُم؛ فإنّهُ مَن أقبَلَ عَلَى اللَّهِ تعالىبقَلبِهِ جَعَلَ اللَّهُ قُلوبَ العِبادِ مُنقادَةً إلَيهِ بِالوُدِّ والرَّحمَةِ، وكانَ اللَّهُ إلَيهِ بِكُلِّ خَيرٍ أسرَعَ»

“จงปลดปล่อยตัวเองจากความกังวลในโลกนี้ตามที่ท่านสามารถทำได้ แท้จริงแล้ว ผู้ใดที่มุ่งหน้าสู่พระเจ้า (อัลลอฮ์) ด้วยหัวใจของเขา พระองค์จะทำให้หัวใจของบ่าวทั้งหลายโน้มเอียงมาทางเขาด้วยความรักและเมตตา และพระเจ้าจะประทานความดีแก่เขาอย่างรวดเร็ว”(บิฮารุลอันวาร, เล่ม 77, หน้า 166, ฮะดิษที่ 3)

  1. ท่านศาสดา(ศ็อลฯ) เมื่อถูกถามเกี่ยวกับคนที่ทำความดีและได้รับการยกย่องจากผู้คน:

«لمّا سُئلَ عنِ الرجُلِ الذي يَعمَلُ العَمَلَ مِنَ الخَيرِ، ويَحمَدُهُ الناسُ علَيهِ-: تلكَ عاجِلُ بُشرَى المؤمِنِ»

“นั่นคือข่าวดีในโลกนี้ของผู้ศรัทธา”(ศอฮิห์มุสลิม, เล่ม 4, หน้า 2034, ฮะดิษที่ 166)

  1. ท่านศาสดา(ศ็อลฯ) กล่าวว่า:

«إذا أحَبَّ اللَّهُ عَبداً مِن امَّتِي قَذَفَ في قُلوبِ أصفِيائهِ وأرواحِ ملائكَتِهِ وسُكّانِ عَرشِهِ مَحَبَّتَهُ لِيُحِبُّوهُ، فذلكَ المُحَبُّ حقّاً»

“เมื่ออัลลอฮ์รักบ่าวคนหนึ่งในประชาชาติของฉัน พระองค์จะทำให้ความรักของเขาตกอยู่ในหัวใจของผู้ที่บริสุทธิ์ใจและจิตวิญญาณของมลาอิกะฮ์ รวมถึงผู้ที่อยู่บนบัลลังก์ของพระองค์ ให้พวกเขารักเขา และเขาจะเป็นที่รักอย่างแท้จริง”(บิฮารุลอันวาร, เล่ม 70, หน้า 24, ฮะดิษที่ 23)

  1. ท่านศาสดา(ศ็อลฯ) กล่าวว่า:

«إذا أحَبَّ اللَّهُ تعالىعَبداً نادىمُنادٍ مِنَ السَّماءِ: ألا إنَّ اللَّهَ تعالىقد أحَبَّ فُلاناً فَأحِبُّوهُ، فَتَعِيهِ القُلوبُ، ولا يُلقىإلّاحَبيباً مُحَبَّباً مُذاقاً عِندَ الناسِ»

“เมื่ออัลลอฮ์ทรงรักบ่าวคนหนึ่ง จะมีเสียงเรียกจากฟากฟ้าว่า ‘ดูเถิด อัลลอฮ์ทรงรักคนผู้นี้ พวกท่านจงรักเขา’ จากนั้นหัวใจทั้งหลายจะรับรู้ถึงความรักนี้ และเขาจะกลายเป็นที่รักในหมู่ผู้คน”(บิฮารุลอันวาร, เล่ม 71, หน้า 372, ฮะดิษที่ 5)

  1. อิมามอาลี(อ.) ได้กล่าวในคำสอนแก่บุตรของท่าน (อิมามฮาซัน อ.):

«إنّما يُستَدَلُّ عَلَى الصالِحِينَ بما يُجرِي اللَّهُ لَهُم علىألسُنِ عِبادِهِ، فَلْيَكُنْ أحَبُّ الذَّخائرِ إلَيكَ ذَخيرَةَ العَمَلِ الصالِحِ»

“ผู้คนจะรับรู้ถึงความดีงามของคนดีได้จากสิ่งที่พระเจ้าทรงให้ผ่านคำพูดของบ่าวของพระองค์ ดังนั้น จงทำให้สมบัติล้ำค่าที่สุดของท่านคือการกระทำที่ดีงาม”(บิฮารุลอันวาร, เล่ม 71, หน้า 372, ฮะดิษที่ 6)

  1. อิมามซัยนุลอาบิดีน(อ.) ได้กล่าวในดุอาของท่านว่า:

«اللّهُمّ اقذِفْ في قُلوبِ عِبادِكَ مَحَبَّتيوألْقِ الرُّعبَ في قُلوبِ أعدائكَ مِنّيأحِبَّني وحَبِّبْني، وحَبِّبْ إلَيَّ ما تُحِبُّ مِن القَولِ والعَمَلِ حتّىأدخُلَ فيهِ بِلَذَّةٍ، وأخرُجَ مِنهُ بِنَشاطٍ»

“โอ้พระผู้เป็นเจ้า โปรดให้ความรักข้าตกอยู่ในหัวใจของบ่าวของพระองค์… และโปรดให้ศัตรูของพระองค์เกรงกลัวข้าพระองค์… โปรดทำให้ข้ารักในสิ่งที่พระองค์ทรงรักทั้งในคำพูดและการกระทำ จนข้าสามารถเข้าสู่สิ่งนั้นด้วยความเพลิดเพลิน และออกมาด้วยความกระปรี้กระเปร่า”(บิฮารุลอันวาร, เล่ม 95, หน้า 298, ฮะดิษที่ 17)

  1. อิมามมุฮัมมัดอัลบากิร (อ.) กล่าวว่า:

«ثلاثٌ لَم يُسألِ اللَّهُ عَزَّوجلَبِمِثلِهِنَّ: أن تقولَ: اللّهُمّ فَقِّهْني في الدِّينِ، وحَبِّبْني إلَى المُسلِمينَ، واجعَلْ لي لِسانَ صِدقٍ فِي الآخِرينَ»

“สามสิ่งที่ไม่มีใครขอพระเจ้าโดยเหมือนกัน คือ การขอว่า ‘โอ้พระผู้เป็นเจ้า โปรดประทานความเข้าใจอันลึกซึ้งในศาสนาแก่ข้าพระองค์ โปรดทำให้ข้าพระองค์เป็นที่รักของชาวมุสลิม และโปรดให้ข้าพระองค์มีลิ้นที่ซื่อตรงในหมู่ผู้ที่มาทีหลัง'”(อัลอามาลี, เล่ม 1, หน้า 303, ฮะดิษที่ 603)

  1. รายงานจาก”บิฮารุลอันวาร” โดยอัลมุฟัฎฎัล:

عن المفضَّلِ: قلتُ لأبي عبدِ اللَّهِ عليه السلام: إنَّ مَن قِبَلَنا يقولونَ: إنّ اللَّهَ تباركَ وتعالىإذا أحَبَّ عَبداً نَوَّهَ به مُنَوِّهٌ مِنَ السماءِ أنَّ اللَّهَ يُحِبُّ فُلاناً فَأحِبُّوهُ، فَتُلقىلَهُ المَحَبَّةُ في قُلوبِ العِبادِ، وإذا أبغَضَ اللَّهُ عَبداً نَوَّهَ مُنَوِّهٌ مِنَ السماءِ أنَّ اللَّهَ يُبغِضُ فُلاناً فَأبغِضُوهُ، قالَ: فَيُلقِي اللَّهُ لَهُ البَغضاءَ في قُلوبِ العِبادِ.قالَ: وكانَ عليه السلام مُتَّكِئاً فاستَوىجالِساً فَنَفَضَ يَدَهُ ثلاثَ مرّاتٍ يقولُ: لا ليسَ كما يقولونَ، ولكنّ اللَّهَ عَزَّوجلَّ إذا أحَبَّ عبداً أغرىبِهِ الناسَ فِي الأرضِ لِيَقُولوا فيهِ فَيُؤثِمُهُم ويَأجُرُهُ، وإذا أبغَضَ اللَّهُ عَبداً حَبَّبَهُ إلَى الناسِ لِيَقُولوا فيهِ لِيُؤثِمَهُم ويُؤثِمَهُ. ثُمّ قالَ عليه السلام: مَن كانَ أحَبَّ إلَى اللَّهِ مِن يَحيَى بنِ زكريّا عليه السلام؟! أغراهُم بهِ حتّىقَتَلُوهُ، ومَن كانَ أحَبَّ إلَى اللَّهِ عَزَّوجلَّ مِن عَلِيِّ بنِ أبي طالبٍ عليه السلام؟! فَلَقِيَ مِنَ الناسِ ما قد عَلِمتُم، ومَن كانَ أحَبَّ إلى اللَّهِ تباركَ وتعالىمِنَ الحسينِ بنِ عليٍّ صلواتُ اللَّهِ علَيهِما؟! فَأغراهُم بهِ حتّىقَتَلُوهُ

 

อัลมุฟัฎฎัลเล่าว่า: ข้าพเจ้าได้กล่าวกับอิมามญะอ์ฟัร อัศศอดิก (อ.) ว่า: “ผู้คนที่อยู่รอบตัวข้าพเจ้ากล่าวว่า: แท้จริงแล้ว เมื่ออัลลอฮ์ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ทรงรักบ่าวคนหนึ่ง พระองค์จะทรงให้เสียงเรียกจากฟากฟ้าว่า ‘อัลลอฮ์ทรงรักผู้นี้ พวกท่านจงรักเขา’ และความรักนั้นจะถูกส่งไปยังหัวใจของบ่าวทั้งหลาย และเมื่ออัลลอฮ์ทรงเกลียดชังบ่าวคนหนึ่ง พระองค์จะทรงให้เสียงเรียกจากฟากฟ้าว่า ‘อัลลอฮ์ทรงเกลียดชังผู้นี้ พวกท่านจงเกลียดเขา’ และความเกลียดชังนั้นจะถูกส่งไปยังหัวใจของบ่าวทั้งหลาย”

อิมามกล่าวว่า: ขณะนั้นท่านนั่งพิงอยู่ ท่านจึงนั่งตรงและสะบัดมือสามครั้งพร้อมกล่าวว่า: “ไม่ใช่เช่นนั้นตามที่พวกเขากล่าว แต่เมื่ออัลลอฮ์ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ทรงรักบ่าวคนหนึ่ง พระองค์จะทำให้ผู้คนบนแผ่นดินเกิดความรู้สึกต่อเขาและพูดถึงเขา และผู้คนเหล่านั้นจะทำบาปในการกล่าว แต่บ่าวคนนั้นจะได้รับรางวัลจากอัลลอฮ์ และเมื่ออัลลอฮ์ทรงเกลียดชังบ่าวคนหนึ่ง พระองค์จะทำให้เขาเป็นที่รักของผู้คนเพื่อให้พวกเขาพูดถึงเขา และสิ่งนั้นจะทำให้พวกเขาทำบาป และบ่าวคนนั้นก็จะได้รับโทษ”

จากนั้นอิมามกล่าวต่อว่า: “ใครกันที่เป็นที่รักของอัลลอฮ์มากกว่า ยะห์ยา บิน ซะกะรียา (อ.)?! พระองค์ทำให้พวกเขารังเกียจจนกระทั่งพวกเขาฆ่าเขา และใครกันที่เป็นที่รักของอัลลอฮ์มากกว่า อิมามอาลี บิน อบีฏอลิบ (อ.)?! ท่านก็ต้องเผชิญกับสิ่งที่พวกท่านรู้กันอยู่แล้ว และใครกันที่เป็นที่รักของอัลลอฮ์มากกว่าอิมามฮุเซน บิน อาลี (อ)?! พระองค์ทำให้พวกเขารังเกียจจนกระทั่งพวกเขาฆ่าเขา”(บิฮารุลอันวาร, เล่ม 71, หน้า 371, ฮะดิษที่ 2)

2.ชื่อเสียงที่ถูกตำหนิ

ฮะดิษ:

  1. ท่านศาสดา(ศ็อลฯ) กล่าวว่า:

«بِحَسْبِ المَرءِ مِن الشَّرِّإلّا مَن عَصَمَهُ اللَّهُ مِن السُّوءِأن يُشِيرَ الناسُ إلَيهِ بالأصابِعِ في دِينِهِ ودُنياهُ»

“สิ่งที่เลวร้ายที่สุดสำหรับคนคนหนึ่ง ยกเว้นผู้ที่อัลลอฮ์ทรงปกป้องจากความชั่วร้าย คือการที่ผู้คนชี้นิ้วมาที่เขาเกี่ยวกับศาสนาและโลกของเขา”(ชัรห์ นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์, เล่ม 2, หน้า 181)

  1. รายงานจาก”คินซุลอุมมาล” โดยอิมรอน บิน ฮุซอยน์ จากท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวว่า:

«كَفىبِالمَرءِ مِن الإثمِ أن يُشارَ إلَيهِ بالأصابِعِ»

“การที่คนคนหนึ่งถูกชี้นิ้วกล่าวถึงนั้นถือเป็นบาปใหญ่สำหรับเขา”

พวกเขาถามว่า: “โอ้ท่านศาสดา แม้ว่าเขาจะทำดีหรือ?”

ท่านตอบว่า: “แม้ว่าเขาจะทำดี ก็ยังถือว่าเป็นสิ่งเลวร้ายสำหรับเขา ยกเว้นผู้ที่อัลลอฮ์ทรงเมตตา และถ้าเขาทำชั่ว มันยิ่งเป็นความเลวร้ายสำหรับเขา”(กันซุลอุมมาล, ฮะดิษที่ 5949)

  1. อิมามอาลี(อ.) ได้กล่าวเกี่ยวกับคุณลักษณะของผู้ศรัทธาว่า:

«يَكرَهُ الرِّفعَةَ ولا يُحِبُّ السُّمعَةَ»

“ผู้ศรัทธารังเกียจการยกยอและไม่ชอบการมีชื่อเสียง”(บิฮารุลอันวาร, เล่ม 78, หน้า 73, ฮะดิษที่ 41)

  1. อิมามอาลี(อ.) กล่าวว่า:

«مَن أحَبَّ رِفعَةَ الدُّنيا والآخِرَةِ فَلْيَمقُتْ في الدُّنيَا الرِّفعَةَ»

“ผู้ใดที่ต้องการความสูงส่งในทั้งโลกนี้และโลกหน้า จงเกลียดชังความสูงส่งในโลกนี้”(ฆุรรุลฮิกัม, ฮะดิษที่ 8868)

  1. อิมามอาลี(อ.) กล่าวว่า:

«ما مِن عَبدٍ يُرِيدُ أن يَرتَفِعَ فِي الدُّنيا دَرَجةً، فَارتَفَعَ فِي الدُّنيا دَرَجةً، إلّاوَضَعَهُ اللَّهُ فِي الآخِرَةِ دَرَجَةً أكبَرَ مِنها وأطوَلَ»

“ไม่มีบ่าวคนใดที่ต้องการยกระดับตนเองในโลกนี้ และได้รับการยกระดับในโลกนี้ ยกเว้นว่าอัลลอฮ์จะทำให้เขาตกต่ำลงในโลกหน้าในระดับที่ใหญ่กว่าและยาวนานกว่า”(กันนซุลอุมมาล, ฮะดิษที่ 6144)

  1. อิมามญะอ์ฟัรอัศศอดิก (อ.) ได้กล่าวเกี่ยวกับคุณลักษณะของผู้ศรัทธาว่า:

«لا يَرغَبُ في عِزِّ الدُّنيا ولا يَجزَعُ مِن ذُلِّها، لِلناسِ هَمٌّ قد أقبَلُوا علَيهِ، ولَهُ هَمٌّ قد شَغَلَهُ»

“เขาไม่ปรารถนาความมีเกียรติในโลกนี้ และไม่หวาดกลัวต่อความอัปยศของมัน ผู้คนต่างมีความกังวลในสิ่งหนึ่งที่พวกเขามุ่งไป แต่เขามีความกังวลอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาหมกมุ่น”(บิฮารุลอันวาร, เล่ม 67, หน้า 271, ฮะดิษที่ 3)

 

3.การตำหนิการสร้างชื่อเสียงผ่านเครื่องแต่งกายและการอิบาดะฮ์

ฮะดิษ:

  1. อิมามอาลี(อ.) กล่าวว่า:

«ما أرىشيئاً أضَرَّ بِقُلوبِ الرِّجالِ من خَفْقِ النِّعالِ وَراءَ ظُهُورِهِم»

“ข้าไม่เห็นสิ่งใดที่เป็นอันตรายต่อหัวใจของบุคคลทั้งหลายมากไปกว่าการที่พวกเขาได้ยินเสียงรองเท้ากระทบพื้นตามหลังพวกเขา”(ตันบีฮ์ อัลคาวาติร, เล่ม 1, หน้า 65)

  1. อิมามฮุเซน(อ.) กล่าวว่า:

«مَن لَبِسَ ثَوباً يَشهَرُهُ، كَساهُ اللَّهُ يَومَ القِيامَةِ ثَوباً مِنَ النّار»

“ผู้ใดที่สวมเสื้อผ้าที่ทำให้เขามีชื่อเสียงในทางไม่ดี อัลลอฮ์จะทรงสวมเสื้อผ้าแห่งไฟให้เขาในวันกิยามะฮ์”(อัลกาฟี, เล่ม 6, หน้า 445, ฮะดิษที่ 4)

  1. อิมามญะอ์ฟัรอัศศอดิก (อ.) กล่าวว่า:

«كَفىبِالمَرءِ خِزياً أن يَلبَسَ ثَوباً يَشهَرُهُ، أو يَركَبَ دابَّةً مَشهورَةً»

“เพียงพอแล้วที่คนคนหนึ่งจะรู้สึกอับอาย ถ้าเขาสวมเสื้อผ้าที่ทำให้เขาโดดเด่น หรือขี่พาหนะที่เป็นที่รู้จัก”(บิฮารุลอันวาร, เล่ม 78, หน้า 252, ฮะดิษที่ 105)

  1. อิมามญะอ์ฟัรอัศศอดิก (อ.) กล่าวว่า:

«إنَّ اللَّهَ يُبغِضُ الشُّهرَتَينِ: شُهرَةَ اللِّباسِ وشُهرَةَ الصَّلاةِ»

“แท้จริงแล้ว อัลลอฮ์ทรงเกลียดชังการทำให้มีชื่อเสียงทั้งสองอย่างนี้ คือ การสร้างชื่อเสียงจากการแต่งกายและจากการนมาซ”(มิชกาต อัลอันวาร, ฮะดิษที่ 553/1864)

  1. รายงานจากอิมามญะอ์ฟัรอัศศอดิก (อ.) เมื่อถูกถามเกี่ยวกับการเยี่ยมเยียนหลุมฝังศพของอิมามฮุเซน (อ.) ว่า:

«في السَّنَةِ مرّةً؛ إنّي أكرَهُ الشُّهرَةَ»

“ปีละครั้งก็เพียงพอแล้ว แท้จริงข้ารังเกียจการสร้างชื่อเสียง”(บิฮารุลอันวาร, เล่ม 101, หน้า 13, ฮะดิษที่ 8)

  1. อิมามญะอ์ฟัรอัศศอดิก (อ.) กล่าวว่า:

«الاشتِهارُ بِالعِبادَةِ رِيبَةٌ»

“การสร้างชื่อเสียงจากการอิบาดะฮ์นั้นเป็นสิ่งที่น่าสงสัย”(บิฮารุลอันวาร, เล่ม 72, หน้า 297, ฮะดิษที่ 27)

  1. อิมามญะอ์ฟัรอัศศอดิก (อ.) กล่าวว่า:

«إنَّ اللَّهَ تَباركَ و تَعالىيُبغِضُ شُهرَةَ اللِّباسِ»

“แท้จริงแล้ว อัลลอฮ์ผู้ทรงเกียรติและสูงส่งทรงเกลียดชังการสร้างชื่อเสียงจากการแต่งกาย”(อัลกาฟี, เล่ม 6, หน้า 445, ฮะดิษที่ 1)

  1. รายงานจาก”ริจาล อัลกัชชี” โดยอัลฮุเซน บิน อัลมุคตาร: อับบาด บิน กะซีร อัลบัซรี ได้เข้าเฝ้าพบอิมามญะอ์ฟัร อัศศอดิก (อ.) โดยสวมใส่เสื้อผ้าที่โดดเด่นและแข็งแรง ท่านอิมามถามเขาว่า:

«يا عَبّادُ، ما هذهِ الثِّيابُ؟

“โอ้ อับบาด นี่คือเสื้อผ้าอะไรกัน?!”

เขาตอบว่า: “โอ้ท่านอะบาอับดุลลอฮ์ ท่านตำหนิเสื้อผ้านี้หรือ?” ท่านอิมามกล่าวว่า:

«نَعَم، قالَ رسولُ اللَّهِ صلى الله عليه و آله: مَن لَبِسَ ثيابَ شُهرَةٍ فِي الدُّنيا ألبَسَهُ اللَّهُ ثيابَ الذُّلِّ يَومَ القِيامَةِ»

“ใช่แล้ว ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) กล่าวว่า: ‘ผู้ใดที่สวมใส่เสื้อผ้าที่ทำให้เขาโดดเด่นในโลกนี้ อัลลอฮ์จะทรงสวมเสื้อผ้าแห่งความอัปยศให้เขาในวันกิยามะฮ์'”(ริจาล อัลกัชชี, เล่ม 2, หน้า 690, ฮะดิษที่ 737)

  1. อิมามอัรริฎอ(อ.) กล่าวว่า:

«مَن شَهَرَ نفسَهُ بِالعِبادَةِ فاتَّهِمُوهُ علىدِينِهِ؛ فإنَّ اللَّهَ عَزَّوجلَّ يُبغِضُ شُهرَةَ العِبادَةِ وشُهرَةَ اللِّباسِ»

“ผู้ใดที่ทำให้ตนเองมีชื่อเสียงในทางอิบาดะฮ์ จงสงสัยในศาสนาของเขา เพราะแท้จริงแล้ว อัลลอฮ์ (ซุบฮานะฮูวะตะอาลา) ทรงเกลียดชังการสร้างชื่อเสียงจากการอิบาดะฮ์และการแต่งกาย”(บิฮารุลอันวาร, เล่ม 70, หน้า 252, ฮะดิษที่ 5)

ฮะดิษเหล่านี้เตือนเกี่ยวกับการสร้างชื่อเสียงผ่านการทำอิบาดะฮ์หรือการทำความดีอย่างเปิดเผยโดยมีเจตนาเพื่อให้ได้รับการยกย่อง ดังนั้นการทำอิบาดะฮ์ควรทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์เพื่ออัลลอฮ์ ไม่ใช่เพื่อการสร้างภาพลักษณ์หรือชื่อเสียง

3.สิ่งที่ไม่ควรละเว้นเพียงเพราะกลัวการมีชื่อเสียง

ฮะดิษ:
  1. รายงานจาก”บิฮารุลอันวาร” โดยอิสฮาก บิน อัมมาร อัศซัยราฟีย์:อิสฮากเล่าว่า: “ข้าพเจ้าอยู่ในเมืองกูฟะฮ์ และมีพี่น้องจำนวนมากมาเยี่ยมเยียนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ชอบการเป็นที่รู้จัก ข้ากลัวว่าตัวเองจะมีชื่อเสียงในเรื่องศาสนา ข้าจึงสั่งคนรับใช้ว่า เมื่อมีใครมาหาข้าพเจ้าให้บอกว่า ‘เขาไม่อยู่ที่นี่’ ปีนั้นข้าพเจ้าได้ไปประกอบพิธีฮัจญ์ และได้พบกับท่านอิมามญะอ์ฟัร อัศศอดิก (อ.) ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านดูเปลี่ยนไป ท่าทางเย็นชาและไม่เหมือนเดิม ข้าพเจ้าจึงถามว่า:

“جُعِلتُ فِداكَ ما الذي غَيَّرَني عندَك؟”

“ข้าพเจ้าขอยอมพลีเพื่อท่าน อะไรที่ทำให้ท่านเปลี่ยนแปลงไปจากข้าพเจ้า?”

ท่านตอบว่า:

“الذي غَيَّرَكَ لِلمُؤمِنِينَ”

“สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือสิ่งที่เจ้าได้ทำกับผู้ศรัทธา”

ข้าพเจ้าตอบว่า:

“جُعِلتُ فِداكَ، إنّما تَخَوَّفتُ الشُّهرَةَ، وقد عَلِمَ اللَّهُ شِدَّةَ حُبّي لَهُم”

“ข้าพเจ้ายอมพลีเพื่อท่าน ข้ากลัวการเป็นที่รู้จัก แต่พระเจ้าย่อมรู้ว่าข้ารักพวกเขามาก”

ท่านกล่าวว่า:

“يا إسحاقُ، لا تَمَلَّ زيارَةَ إخوانِكَ”

“โอ้อิสฮาก อย่าเบื่อหน่ายในการเยี่ยมเยียนพี่น้องของเจ้า”

ชี้ให้เห็นว่าการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพี่น้องมุสลิมเป็นสิ่งสำคัญ และไม่ควรกลัวการเป็นที่รู้จักหากเจตนาบริสุทธิ์

  1. รายงานจาก”บิฮารุลอันวาร” โดยฟาอิด จากอิมามมูซา อัลกาซิม (อ.): ฟาอิดเล่าว่า: “ข้าพเจ้าได้เข้าเฝ้าท่านอิมามและกล่าวว่า:

“جُعِلتُ فِداكَ، إنّ الحسينَ قد زارَهُ الناسُ مَن يَعرِفُ هذا الأمرَ ومَن يُنكِرُهُ، ورَكِبَت إلَيهِ النِّساءُ، ووَقَعَ حالُ الشُّهرَةِ، وقدِ انقَبَضتُ مِنهُ لِما رَأيتُ مِن الشُّهرَةِ”

“ข้าพเจ้ายอมพลีเพื่อท่าน แท้จริงแล้วมีคนมากมายที่มาเยี่ยมซิยารัตอิมามฮุเซน ทั้งผู้ที่รู้ความจริงและผู้ที่ปฏิเสธมัน หญิงสาวมากมายก็เดินทางไปเยี่ยมซิยารัต และเกิดความเป็นที่รู้จักจนเกินไป ข้าพเจ้าจึงลังเลที่จะไปเพราะเห็นว่ามีความโดดเด่นมากเกินไป”

ท่านอิมามนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบกลับว่า:

“يا عِراقِيُّ، إن شَهَرُوا أنفسَهُم فلا تَشهَرْ أنتَ نَفسَكَ، فوَاللَّهِ ما أتَى الحسينَ آتٍ عارِفاً بِحَقِّهِ إلّاغَفَرَ اللَّهُ لَهُ ما تَقَدَّمَ مِن ذَنبِهِ وما تَأخَّرَ”

“โอ้ชาวอิรัก หากพวกเขาเปิดเผยตัวเอง เจ้าก็อย่าเปิดเผยตัวเอง เพราะขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ไม่ว่าผู้ใดที่มาเยี่ยมอิมามฮุเซนด้วยการรู้ถึงสิทธิของเขา อัลลอฮ์จะทรงอภัยบาปที่ผ่านมาและบาปที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”