สถานการณ์เกี่ยวกับประเด็นการขอความร่วมมือจากอิหร่านให้ร่วมกับสหรัฐ ในการปราบปราม ISIS ทำให้สหรัฐต้องอับอายขายหน้าแบบไม่ทันตั้งตัว เมื่อเจอกับคำตอบของผู้นำสูงสุดอิหร่าน ซึ่งให้ความกระจ่าง กับชาวโลกทุกคนว่า เราไม่มีทางร่วมมือกับคนที่มือเปื้อนเลือด คนที่ครั้งหนึ่งเคยใช้วิธีการสกปรกในการทำลายศัตรู
ใช่ครับ ISIS เป็นผู้ก่อการร้ายที่ทำลายภาพลักษณ์ศาสนา และนับเป็นกลุ่มที่อันตรายต่อทุกๆ ฝ่าย ทั้งที่เป็นมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม ทั้งที่เป็นซุนนี่และชีอะฮ คนจำพวกเดียวที่จะไม่เป็นอันตรายกับ ISIS คือพวกที่ยอมเชื่อฟังคำสั่งของพวกเขา หรือพวกที่เอาเงินอุดปืนพวกเขา
ก่อนหน้านี้เราเคยอธิบายสถานการณ์ระหว่าง “สหรัฐ” กับ “ISIS” ไปแล้วว่า เหมือน “ทอม” กับ “เจอรี่” เป็นแค่การ์ตูนที่สหรัฐสร้างขึ้นมา ในวันนี้เรามาขุดหาสาเหตุที่แท้จริงว่า อะไรคือเหตุผลหลักที่ทำให้ อิหร่าน ขยาดที่จะร่วมมือกับสหรัฐ และสาเหตุที่ทำให้สองประเทศนี้เป็นศัตรูกัน
1. การเป็นศัตรูระหว่างอิหร่านกับสหรัฐ เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ก่อนการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านเสียอีก
สหรัฐได้โค่นล้มรัฐบาลของ ดร.มิศดัก ซึ่งทางเจ้าหน้าที่สหรัฐได้เดินทางมาอิหร่านอย่างเป็นทางการ และพยายามสร้างความโลภให้กับนักการเมืองของอิหร่าน โดยการป้อนเงินป้อนทองเข้าปากทุกๆ วัน เมื่อสหรัฐซื้อคนได้มากพอ พวกเขาก็ล้มรัฐบาลของ ดร.มิศดัก จริงๆ แล้ว ดร.มิศดักไม่ได้คิดว่าสหรัฐ จะมาทำรัฐประหารใส่กันดื้อๆ แบบนี้ แต่เพราะประเทศที่เขาต่อต้านอยู่ในช่วงนั้น คือ ประเทศอังกฤษ และคิดว่า สหรัฐอาจจะมาช่วยเหลือเขา แต่กลายเป็นว่าสหรัฐกับอังกฤษกลับร่วมมือกัน
หลังจากเวลาผ่านไปได้ประมาณสิบปี ก็เกิดเหตุการณ์การลุกขึ้นของประชาชน ในวันที่ 15 คุรดอร (เดือนของอิหร่าน) หรือ การปฏิวัติอิสลาม เริ่มต้นขึ้น อิมามคาเมเนอีย์ กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า ” พวกเขา ได้ทำการกดดัน ทรมาน กักขัง และสั่งประหารผู้คน เป็นอย่างนี้ถึงสิบปี พวกเขาจะทำอะไรก็ได้ที่พวกเขาต้องการ ในประเทศนี้ (อิหร่าน) ”
ถึงกระนั้นในท้ายที่สุด แรงระเบิดแห่งการปฏิวัติก็กระหึ่มขึ้น ภายหลังจากช่วงเวลาดังกล่าว อีกสิบปี ซึ่งตรงกับวันที่ 24 คุรดอร ของอิหร่าน
ก่อนการปฏิวัติ อำนาจรัฐบาลตกอยู่ในมือของผู้กดขี่ ทรราช อย่าง กษัตริย์ ชาห์ ปาเลวี ในฉากหน้า โดยมีสหรัฐ เป็นผู้บงการชี้นิวเดินอยู่เบื้องหลังและกอบโกยผลประโยชน์ของประเทศอิหร่าน พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่พยายามสร้างความแข็งแกร่งให้กับรัฐบาลที่สวามิภักดิ์ หรือผู้อยู่ใต้อำนาจมาโดยตลอด สหรัฐพยายามใช้ชาห์ ปาเลวี เป็นหมากสำคัญ ที่ คอยคุมเกมในอิหร่าน ช่วงนี้ก็มีการต่อสู้ระหว่างผู้รู้ศาสนาและมวลชน ที่ต้องการจะปลดแอกประเทศอิหร่าน ให้พ้นจากเงื้อมมือของผู้กดขี่ ในยุคนี้สหรัฐ มีอำนาจล้นพ้นและมากพอที่จะสั่งหารใครตามอำเภอใจได้ พวกเขาคิดว่าอย่างไงอิหร่านก็ต้องแพ้ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะคิดผิด
เวลาผ่านไปไม่นานอำนาจ ตกเป็นของ มูฮัมมัด เรซ่า ปาเลวี โดยการผลักดันจากสหรัฐอย่างเปิดเผย สหรัฐได้ทิ้งมลทินไว้มากมายในอิหร่าน พวกเขาสามารถกอบโกยและปล้นผลประโยชน์ที่ควรจะเป็นของประชาชนเท่าไหร่ก็ได้ ตามที่พวกเขาต้องการ การปล้นสดมภ์อิหร่านเป็นไปอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งการปิดกั้นทางการศึกษา
2. สหรัฐคอยช่วยกลุ่มก่อการร้ายให้ทำลายการปฏิวัติในอิหร่าน
นับตั้งแต่วันแรกที่มีการปฏิวัติเกิดขึ้นในอิหร่าน สหรัฐอเมริกาเริ่มต้นแสดงพฤติกรรมที่ไม่ดีกับอิหร่าน และงานแรกที่อเมริกาทำ ก็คือการโค่นสาธารธณรัฐอิสลาม โดยการสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย และกลุ่มหัวรุนแรง กลุ่มกบฎ และกลุ่มแบกแยกดินแดน ที่หวังจะแบ่งประเทศเป็นชิ้นๆ ในทุกๆ ภูมิภาค มีการปล่อยกระแส เรื่องการแบ่งแยกดินแดนบางจังหวัดให้เป็นอิสระจากสาธารณรัฐ
3. สหรัฐหนุนหลังซัดดัมโค่นอิหร่านในสงคราม 8 ปี
การปฏิวัติเพิ่งจะเริ่มต้นได้ไม่นานนัก สหรัฐได้ใช้วิธีขยี้อิหร่านอีกด้านหนึ่ง โดยการเปิดไฟเขียวให้ซัดดัมมุ่งหน้าถล่มอิหร่านอย่างไม่หยุดยั้ง สงครามดำเนินไปยาวนานเป็นเวลา 8 ปี นอกจากการกดดันทางเศรษฐกิจ การกดดันในเรื่องสงครามแล้ว อิหร่านยังต้องเผชิญหน้ากับศัตรูในทุกรูปแบบ ทั้งการศึก การเมืองระหว่างประเทศ และปัญหากลุ่มต่อต้านภายใน แต่ด้วยความศรัทธาอันแกร่งกล้าของประชาชนที่ยืนกรานจะให้ อิหร่านเป็นประเทศอิสลามที่ใช้กฎหมายจากอัลกุรอ่านและวจนะของอะฮลุลบัยต์ให้ ได้ พวกเขาจึงทำให้ เลือดมีชัยเหนือคมดาบ จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมอิหร่านถึงสามารถ ไม่คิดกลัวสหรัฐหรืออิสราเอล หรือ ชาติอาหรับที่มีทรราช ถืออำนาจผูกขาดใดๆ เพราะพวกเขาสู้ตั้งแต่การปฏิวัติยังแบเบาะ
4. การยิงจรวดถล่มเครื่องบินคมนาคมของอิหร่าน
ภายหลังจากสงคราม มีการยิงถล่มเครื่องบินอิหร่านในบริเวณอ่าวเปอร์เซีย ซึ่งทางอิหร่านอ้างว่า เป็นฝีมือของทัพเรือสหรัฐ เหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณสามร้อย คน ซึ่งเหตุการณ์อันนี้ ก็เป็นบันทึกความทรงจำอันเจ็บปวดของชาวอิหร่าน ที่สหรัฐได้ทำไว้กับพวกเขา
5. การลอบสังหาร
ประเด็นเรื่องการลอบสังหาร ที่มีมาอย่างยาวนานนี้ มีรายละเอียด และเนื้อหาอยู่มากพอสมควร ขอกล่าวเหตุการณ์สำคัญๆ มาพอเป็นตัวอย่าง ซึ่งเมื่อสืบถึงเบื้องหลังของแผนลอบสังหาร ก็จะพบว่า ถ้าไม่ใช่ สหรัฐ อังกฤษ ก็อิสราเอล หรือไม่ก็พวกที่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศเหล่านี้ เช่น การวางแผนลอบสังหารอิมามโคมัยนี โดยหน่วยรบพิเศษ การลอบสังหาร ชะฮีด มุเฏาะฮารี มันสมองของการปฏิวัติและผู้รู้ระดับสูงของโลกมุสลิม การลอบสังหาร ชะฮีด เบเฮชตี การลอบสังหารชะฮีด ระญาอีย ประธานาธิบดีอิหร่าน การลอบสังหาร นักวิทยาศาสตร์นิวเคลียของอิหร่าน เมื่อไม่กี่ปีมานี้
6. การดูถูกอิหร่าน
สหรัฐ ไม่เคยคิดที่จะให้เกียรติประเทศอิหร่านแต่อย่างใด ไม่เหมือนกับประเทศซาอุดิอาราเบีย ที่ผู้นำของแต่ละประเทศ มักจะชวนกันไปเดินเล่นกันบ่อยๆ
ซัยยิด อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดทางจิตวิญญาณ กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “ผู้ก่อการร้ายได้ลอบสังหารผู้ชาย ผู้หญิง ทั้งสังหารหมู่หรือสังหารเดี่ยว พวกเขาสังหารทั้งผู้รู้ระดับสูง หรือแม้กระทั่งเด็กที่ยังอายุน้อย โดยมีสหรัฐเป็นผู้สนับสนุนให้กระทำการฆ่าคนบริสุทธิ์เหล่านี้ คนเหล่านี้ได้อนุญาตให้คนในประเทศของเขาเคลื่อนไหวเพื่อทำลายประเทศของเรา พวกเขาได้โฆษณาสร้างภาพให้เห็นถึงความเกลียดชัง ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงสงคราม 8 ปี ทุกครั้งที่มีการพูดถึงประเทศอิหร่าน หรือ เจ้าหน้าที่ผู้ดูแล รัฐบาลของ สาธารณรัฐอิสลาม ปธน.สหรัฐ จะต้องพูดจา ไร้สาระ และดูถูกอิหร่านอยู่เสมอ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ”
7. การข่มขู่ ประเทศอิหร่าน
ในประเด็นนี้ ท่านซัยยิด อาลี คาเมเนอี กล่าวว่า “พวกเขาได้ทำการข่มขู่เรา ในทุกๆ กรณี และมักจะพูดเสมอว่า เราจะโจมตีพวกท่าน พวกเขายกเรื่องการบุกทางการทหาร มาพูดบนโต๊ะเสมอ ทว่าการข่มขู่เหล่านี้ ไม่อาจสร้างแรงสั่นสะเทือนใดๆ ให้กับประชาชาติของเราได้ ”
ในช่วงสามสิบปี ที่ผ่านมา หากใครที่ติดตาม การเมืองระหว่างอิหร่าน – สหรัฐอเมริกา ก็จะเข้าใกล้ ความหมายของคำกล่าวอันนี้ สหรัฐ ได้ข่มขู่อิหร่านมาโดยตลอด ทั้งด้านการฑูต ด้านการทหาร หรือแม้จะเป็นในเวทีประชุมระดับโลก อะไรที่อิหร่านทำจะถูกเพ่งเลงและมองว่า เป็นสิ่งที่อันตรายเสมอ ตัวอย่างสำหรับเรื่องนี้ ก็คือ โครงการพลังงานนิวเคลียร์ ทั้งๆ ที่อิสราเอล มีนิวเคลียร์ มีขีปนาวุธไว้ครอบครอง มาเป็นเวลานาน เรากลับไม่เห็นการโวยวายของสหรัฐ ถึงการมีอาวุธทำลายล้างของอิสราเอลเลย แต่พออิหร่านบอกว่า จะสร้างพลังงานนิวเคลียร์ ไว้ใช้พัฒนาประเทศ ฝ่าย รมต สหรัฐ ถึงกับ ต้องหาข้ออ้างสารพัด ในการหยุดยั้งการพัฒนาอันนี้
8. การบอยคอตอิหร่าน โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความเป็นศัตรู
เกือบสามสิบปีแล้วที่ประเทศนี้ ถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ มาอย่างยาวนาน ถึงแม้การคว่ำบาตรจะทำให้เศรษฐกิจของอิหร่าน ถูกบีบให้ตึงอยู่ตลอดเวลา พวกเขาก็ใช้ความกดดันอันนี้ ในการวิวิฒนาการทางความรู้มาโดยตลอด
จากคำกล่าวของผู้นำสูงสุดทางจิตวิญญาณจะช่วยทำให้เราเข้าใจถึงมุมมองของ ประเทศอิหร่าน ในการเผชิญหน้ากับการคว่ำบาตรอย่างนี้ได้ดียิ่งขึ้น ทำให้เราเข้าใจได้ดียิ่งขึ้นว่า อิหร่านคิดยังไง กับการที่มหาอำนาจตะวันตกได้คว่ำบาตรประเทศนี้
ท่านกล่าวว่า “ถ้าหากพวกเขาไม่คว่ำบาตรเรา เราคงไม่สามารถพัฒนาวิทยาการความรู้ ได้มาถึงขั้นนี้ การคว่ำบาตรถาวรอันนี้ ทำให้ เราสามารถยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง ทำให้เราสามารถคิดด้วยตัวเอง ซึ่งนั้นทำให้แผนการของพวกเขาต้องล้มเหลว พวกเขาไม่ได้ต้องการให้เกิดสิ่งเหล่านี้ เพราะพวกเขา ต้องการเป็นศัตรูกับเรา แต่เริ่มแรก”
9. การลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์ชาวอิหร่าน
หลังจากที่ไซออนิสต์ได้พยายามในหลายๆ วิถีทางเพื่อยับยั้งความก้าวหน้าของอิหร่าน ที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์อิหร่านอีกครั้ง โดยหวังว่า การลอบสังหาร นักวิทยาศาสตร์ และบุคลากรสำคัญที่มีส่วนในการพัฒนาประเทศ จะทำให้ ความก้าวหน้าทางวิทยาการความรู้ต้องหยุดชะงัก
ซึ่งนี่ก็เป็น อีก เหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ อิหร่าน และ ไซออนิสต์ เป็นศัตรูกัน อย่างฝังรากลึก
10. กรณี ปาเลสไตน์
ความไม่ยุติธรรมของสหรัฐ และการเข้าแทรกแซงในหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องปาเลสไตน์ สหรัฐ วางมาดเป็นศาลโลก คอยตัดสินถูกผิดให้กับประเทศอื่นๆ ในเรื่องปาเลสไตน์ เริ่มแรก การที่สหรัฐเข้ามาวางตัวเหมือนเป็นคนกลาง อาจทำให้หลายๆ คนคิดว่า เมื่อมะกันมาเป็นผู้ตัดสินแล้ว ทุกอย่างก็จะได้รับความยุติธรรม แต่กลายเป็นว่า กรรรมการเป่านกหวีดเข้าข้างอิสราเอล สหรัฐพยายามปกป้องอิสราเอลทุกครั้ง ที่อิสราเอลก่ออาชญากรรมต่อชาวปาเลสไตน์ หรือริบที่ดินชาวปาเลสไตน์ พวกเขาบอกกับประเทศอื่นๆ ว่า ฉันเป็นกลาง แต่ยืนข้างอิสราเอล
ประเด็นเรื่องการกดขี่อันนี้ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้อิหร่านไม่ยอมรับในอุดมการณ์ความยุติธรรมของสหรัฐ อิหร่านมักจะพูดเสมอว่า สหรัฐไม่เคยยุติธรรมกับปาเลสไตน์
11. การสั่งระงับการเผยแพร่ ข่าวจากสำนักข่าวของอิหร่าน
สงครามข่าว สงครามไซเบอร์ สงครามความคิด เป็นสนามรบไร้พรมแดน ที่ สหรัฐ ไซออนิสต์ และอิหร่าน ต่างก็ทำศึกกันมาอย่างยาวนาน สำนักข่าวที่ขึ้นตรงกับ ไซออนิสต์ ได้พยายามที่จะสร้างภาพลบให้กับประเทศนี้ อาทิเช่น ประเด็นเรื่อง เสรีภาพของสตรี ประเด็นเรื่องนิวเคลียร์ บางครั้งสื่อตะวันตกพยายามนำเสนอภาพของประเทศอิหร่านให้เป็นเหมือนกับ การปกครองของคริสจักรในยุคมืด หรือบางครั้งก็ทำลายภาพลักษณ์อิหร่าน แต่การศึกทางด้านนี้ก็ทำให้อิหร่านมีชัยในหลายๆ ครั้ง สำนักข่าวดังๆ อย่าง Presstv หรือ Abna หรือ Fars หรือ AL-Alam เป็นสำนักข่าว ที่นำเสนอเหตุการณ์ในด้านที่ สหรัฐเลือกที่ไม่พูดถึง หรือ ความจริงที่ ไซออนิสต์ ต้องเซ็นเซอร์ สำนักข่าวเหล่านี้ ถูกระงับ ไม่ให้ เผยแพร่ หรือ ออกอากาศ ในประเทศ แทบยุุโรป อย่างที่เรารู้กันนี้ มีการเสนอ ให้ระงับ สัญญาณ สถานีโทรทัศน์ของอิหร่าน ในภาคภาษาอังกฤษมาโดยตลอด แต่สำหรับ ผู้ที่ต้องการ มองหาในสิ่งที่ สหรัฐ และตะวันตกไม่ได้พูดถึง พวกเขาจะมาติดตาม สถานการณ์ต่างๆ จาก สำนักข่าวนี้ มีหลายครั้ง ที่คนหลายกลุ่ม พยายาม ดิสเครดิต สำนักข่าวเหล่านี้
นี่เป็นตัวอย่าง ความพยายามในการทำลายอิหร่าน โดยมหาอำนาจตะวันตก ที่นำโดยสหรัฐ ถูกสั่งการจากไซออนิสต์ ยังมีเหตุการณ์อีกมากมาย ที่สหรัฐพยายามในการทำลาย อิหร่าน แต่ผมคิดว่า 10 เหตุผลอันนี้ คงเพียงพอที่จะทำให้เราเข้าใจว่า ทำไมสองประเทศนี้ ถึงเป็นศัตรูที่ไม่อาจคืนดีกันได้นั่นเอง สุดท้ายขอจบบทความด้วยคำกล่าว ของ อิมามโคมัยนี ที่ฝากไว้ให้กับชาวโลกว่า
” ในการปฏิวัตินี้ สหรัฐอเมริกา คือ มหาซาตาน และไซออนิสต์คือ จิตวิญญาณของมัน”