นอนกับปีศาจ (ตอน 2) :  การนิ่งเฉยอย่างมีเลศนัยของสหรัฐต่ออัลกออิดะฮ์

1107
ซุปเปอร์ทูต อาลีซาอูด จะกว้านซื้อปัญญาชนที่มีอิทธิพลของอเมริกา

หากมีการเฝ้าติดตามตรรกะของปีศาจจนถึงวันนี้  จะประจักษ์ชัดว่าตะวันตกและซาอุดิอาระเบีย กำลังตกอยู่ในห้วงอเวจีที่อันตรายที่สุด ทุกองค์ประกอบของเหตุการณ์ความไม่สงบได้มาถึง ณ. จุดหนึ่งที่เหมาะสมแล้ว   เช่น เปิดพรมแดน   ความพร้อมของอาวุธยุโทปกรณ์  ไร้นโยบาย  กฎหมายไร้อภิสิทธิ์  ตำรวจมีการทุจริตและเสื่อมเสียศีลธรรม  หมิ่นชนชั้นผู้ปกครอง  ส่วนแบ่งของประชากรมีรายได้ต่ำ  ประเทศเพื่อนบ้านโกรธเคือง  และอันตรายของเยาวชนสุดโต่งจากภายในที่ทวีมากยิ่งขึ้น

นอกเหนือจากองค์ประกอบดังกล่าวแล้ว ในสถานศึกษาของซาอุดิอาระเบีย จะมีกลุ่มบุคคลที่มีความอคติอย่างสูงจำนวนมาก ซึ่งมีความกระวนกระวายอย่างเร่งด่วนในการเข้าร่วมสู้รบในพม่า เวียดนาม  กัมพูชา นิการากัว  แอ่งโกลา โซมาเลียและเซียร์ราลีโอน  เหตุใดซาอุดิอาระเบีย จำต้องหลบหนีจากชะตากรรมเหล่านี้ ???

ไม่มีข้อ จำกัด ในการออกวีซ่าสำหรับชาวซาอุดิอาระเบีย แม้ว่าพวกเขาจะเป็นสมาชิกของอัลกออิดะฮ์ก็ตาม

ถึงแม้ว่าจะมีความเกลียดชังอย่างมากมายก็ตามที แต่มันเป็นความเชื่อที่ว่า จำเป็นต้องให้การสนับสนุนและช่วยเหลือผู้ที่ปกป้องกรุงริยาด  บนแผนที่อย่างเป็นทางการของวอชิงตันก็จะมีการแสดงและวงจุดสีแดงที่เรียกว่าริยาดอยู่      ในปี 2003    ซึ่งข้าพเจ้ากำลังเขียนเนื้อหาดังกล่าวนี้ วอชิงตันก็ยังคงยืนกร้านว่า ซาอุดิอาระเบียคือชาติที่มีความมั่นคงที่สุด โดยรัฐบาลกลางสามารถควบคุมชายแดนต่างๆได้เป็นอย่างดี  มีการตรึงกองกำลังตำรวจและทหารภายใต้การควบคุมที่มีความซื่อสัตย์มีประสิทธิภาพและความสามารถอย่างสูงและประชาชนในประเทศจะมีกินมีใช้อยู่ดีเป็นสุขและได้รับการศึกษากันอย่างถ้วนหน้า

ข้าพเจ้าจะขอเริ่มต้นจากกระทรวงการต่างประเทศเสียก่อนเป็นลำดับแรกเพราะมีภารกิจที่หนักอึ้งและสำคัญเหนือกว่ารัฐบาลของกรุงวอชิงตันด้วยซ้ำกระทรวงนี้มีบทบาทอย่างสูงในการแพร่คำโกหกครั้งใหญ่ให้กับซาอุดิอาระเบียโดยที่หากได้ยินจุดยืนของซาอุฯต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้แล้วก็จะได้บทสรุปที่ว่าซาอุดิอาระเบียก็เหมือนกับเดนมาร์กนั่นเอง

ตามกฎหมาย จะพิจารณาเพียงแค่การปฏิสัมพันธ์ในด้านวีซ่าของซาอุดิอาระเบียเท่านั้น  กระทรวงต่างประเทศมีหน้าที่และรับผิดชอบในการออกวีซ่านอกประเทศโดยผ่านสถานกงสุลและสถานทูตต่างๆ เท่านั้น

ในปี 1951 ตามกฎหมายของผู้อพยพและหนังสือเดินทางโดยเฉพาะอัตลักษณ์ของตัวบุคคลจะมีการบันทึกและอธิบายอย่างชัดเจน   ในข้อที่ 214    จะมีการอธิบายว่า  ชาวต่างชาติทุกคนที่ถือเป็นคนอพยพ  จนกระทั่งมันตรงกันข้ามกับประเด็นดังกล่าวเพื่อสามารถยืนยันให้กับเจ้าหน้าที่ของสถานกงสุล ว่า บุคคลดังกล่าวไม่ได้อยู่ในสถานะของคนอพยพ  กล่าวคือ ชาวต่างชาติที่มีเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ที่ไม่สามารถกลับประเทศได้  (ตกงาน คนโสด และล้มละลาย) ไม่มีคุณสมบัติที่จะขอวีซ่า  ก็สามารถที่จะพำนักอยู่ในอเมริกาได้

ด้วยอัตราการว่างงานในซาอุฯ ประมาณร้อยละ 30   และการมีรายได้ที่ลดลง ทำให้ชาวซาอุดิอาระเบียเป็นบุคคลที่ต้องอพยพจากประเทศของตนโดยปริยาย (หากไม่ใช่เป็นผู้ปกครองหรือคนรับใช้ของผู้ปกครอง)  ชาวซาอุดิอาระเบียที่หลงเหลืออยู่ในอเมริกาก็จะต้องพบเจอกับความท้าทายของภยันตรายในการแสวงหาปัจจัยยังชีพพอสมควร   ซึ่งตามเงื่อนไขของกฎหมายแล้วพวกเขาไม่มีสิทธิที่จะกลับยังประเทศของตนเองได้  และสิ่งนี้มันยิ่งสร้างความเลวร้ายเพิ่มมากขึ้น

ในเหตุการณ์ 11  กันยา  2001 ชาวซาอุดิอาระเบียมีส่วนร่วมในการก่อเหตุวินาศกรรมครั้งนั้นด้วย  สำหรับการขอวีซ่านั้นไม่จำเป็นต้องไปให้สัมภาษณ์ในสถานทูตอเมริกาในกรุงริยาดหรือสถานกงสุลในญิดดะฮ์แต่อย่างใด  แต่จะอาศัยระบบเอ็กซ์เพรสวีซ่าชาวซาอุดิอาระเบียเพียงแค่ส่งหนังสือเดินทางและค่าวีซ่าผ่านตัวแทนการเดินทางชาวซาอุดิอาระเบียเท่านั้น  ซึ่งตัวแทนดังกล่าว ก็คือ เจ้าหน้าที่และตัวแทนของรัฐบาลอเมริกานั้นเอง  และสามารถออกวีซ่าในระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น  ชาวซาอุดิอาระเบียที่มีทรัพยสินเงินทองก็สามารถเดินทางไปยังกรุงนิวยอร์กได้เสมอ โดยอาศัยการเดินทางทางอากาศมุ่งสู่เป้าหมาย

ซาอุฯ คือผู้ก่อการร้ายโลกสมัยใหม่

กระทรวงต่างประเทศได้ออกวีซ่าให้กับชาวซาอุดิอาระเบียที่ว่างงานจำนวน 15   คน  ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายของประเทศอย่างชัดเจน  ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า ความมักง่ายในประเด็นนี้  มันเป็นการอนุญาตให้ผู้มีอำนาจกำหนดทิศทางและเป้าหมายในการบุกโจมตีเรา 

อุซามะห์ บิน ลาเดน ถือกำเนิดในประเทศซาอุดิอาระเบีย  ในปี 1995  ได้ก่อเหตุลอบวางระเบิดสังหารพลเมืองซาอุดิอาระเบีย ใกล้กับหน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติ   ในปี 1996 ได้โจมตีหอ คุบัร ในปี 2000   ชาวซาอุดิอาระเบียสองคนได้ทำการลักเครื่องบิน    ชาวซาอุดิอาระเบียอยู่เบื้องหลังในการก่อเหตุระเบิดเรือรบโคล์”   ชาวซาอุดิอาระเบียนับร้อยคนที่เข้าร่วมกลุ่มก่อการร้ายตั้งแต่ในเชชเนีย  แทนซาเนียและเคนย่า  กระทรวงต่างประเทศต้องการหลักฐานที่มากไปกว่านี้อีกหรือ ที่จะพิสูจน์และเป็นหลักฐานยืนยันว่า ชาวซาอุดิอาระเบียเป็นผู้ก่อการ้ายแห่งโลกสมัยใหม่ และไม่เพียงพออีกหรือที่จะทำการสอบสวนและเฝ้าติดตามบุคคลดังกล่าวอย่างใกล้ชิด??  ด้วยเหตุนี้รูปแบบในการบริหารเรื่องวิซ่ามันเอื้อต่ออุซามะห์ บิน ลาเดนอย่างมากในการเข้าไปแทรกซึมในอเมริกา 

การสนับสนุนของวอชิงตันต่อระบอบซาอุดิอาระเบีย ในการตัดสินของศาลยุติธรรมโลก

กระทรวงต่างประเทศของอเมริกาเปิดโอกาสให้กับผู้ปกครองซาอุดิอาระเบีย   เพื่อสามารถกระทำอะไรก็ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ   ทางกระทรวงต่างประเทศก็จะคอยปกป้องและให้การสนับสนุนซาอุฯในองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน  ธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ  กระทรวงต่างประเทศไม่สนใจต่อเหตุการณ์ระเบิด ณ. หน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติและหอ คุบัร   กรณีตัวอย่างนี้  ในรายงานของกระทรวงต่างประเทศ เมื่อปี 1999   ได้ย้ำในประเด็น   รูปแบบการก่อการร้ายสากล  โดยสำหรับซาอุดิอาระเบียแล้วย้ำถึง ประเด็น ซาอุต้องมุ่งมั่นต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้ายทุกระดับขั้น  และในรายงานกล่าวเสริมว่า  ทางการซาอุฯ ยังคงตรวจสอบและสอบสวนคดีระเบิดรอบหอ อัลคุบัร เมื่อปี 1996   อย่างต่อเนื่อง

แต่เรารู้ว่านี้คือการลวงโลกครั้งใหญ่  ซึ่งนาเญฟ ก็ไม่เคยติดตามสอบสวนแฟ้มคดีนี้แม้แต่น้อย  แต่ในปี 1999   มันเกิดเหตุการณ์ต่างนานาอย่างมากมาย ซึ่งทางรัฐบาลได้ปกปิดไม่ให้เราได้รับรู้  และในปีเดียวกันนั้นเอง นาเญฟ ได้ทำการปล่อยนักการศาสนาสองคนซึ่งเป็นนักโทษในคดีสังหารชาวอเมริกัน  ในเวลานั้นเองพวกเขาได้เข้าร่วมสมทบกับบุคคลอีก 15  คนเข้ารับการฝึกอบรมในมัสยิดของซาอุดิอาระเบีย

ปฏิกิริยาของซาอุดิอาระเบียต่อการถูกคุกคาม

ทางทำเนียบขาวจะไม่เปิดเผยความจริงแก่พลเมืองอเมริกันที่เดินทางมายังซาอุดิอาระเบีย  แต่ก็มีคำเตือนให้พวกเขาออกจากซาอุดิอาระเบีย  ขณะที่ข้าพเจ้าได้พูดกับเพื่อนร่วมงาน ว่า วันนี้ซาอุดิอาระเบียต้องล่มสลาย  พวกเขาต่างไม่เชื่อและยังเยาะเย้ยข้าพเจ้าอีกด้วย พร้อมกับเอ่ยพูดว่า  มันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน  เพราะครอบครัวผู้ปกครองซาอุดิอาระเบียเหมือนกับนิ้วมือ  เมื่อเห็นว่ากำลังเผชิญหน้ากับภัยคุกคามก็จะกำมือกลายเป็นกำปั้นในทันที แต่ข้อเท็จจริงคือ เมื่อราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียถูกคุกคาม  ก็จะแสดงปฏิกิริยา  และจะส่งเสริมสนับสนุนทางการเงินให้กับกลุ่มหัวรุนแรงสุดโต่ง  ขณะเดียวกันอเมริกาก็ยังออกวิซ่าให้กับซาอุดิอาระเบียเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม

ความร่วมมือธุรกิจน้ำมันกับตอลิบันในการคุ้มครองความปลอดภัยแก่บิน ลาเดน

อเมริการู้ดีว่า ซาอุดิอาระเบียต้องการดำเนินโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมันจากอัฟกานิสถาน  เอเชียกลาง ถึงปากีสถาน และสร้างแหล่งหลบภัยที่ปลอดภัยให้แก่บินลาเดน ในขณะที่อเมริกาก็ยืนเคียงข้างซาอุดิอาระเบีย พร้อมกับเรียกร้องส่งเสริมให้บริษัทต่างๆของอเมริกาเข้าร่วมในโครงการดังกล่าวนี้ อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของโครงการนี้ก็ขึ้นอยู่กับการแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงในอัฟกานิสถานด้วย เนื่องจากบริเวณพื้นที่ของประเทศที่จะมีการวางท่อก๊าซนั้นเป็นเขตอิทธิพลของกลุ่มตอลิบันนั่นเอง

ในปี 1997    อเมริกาได้ส่งบุคคลหนึ่ง (ชื่อของเขาถูกลบออกแล้วเข้าสู่หน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อเก็บข้อมูลเพิ่มเติมให้กับข้าพเจ้าโดยเฉพาะประเด็นโครงการท่อส่งก๊าซยูโนเเคล (Unocal)   ซึ่งเป็นโครงการท่อส่งก๊าซที่รัฐบาลตอลิบันคัดค้านไม่ยินยอมให้ผ่านดินแดนอัฟกานิสถาน

เรื่องมีอยู่ว่า สาธารณรัฐต่างๆที่อยู่ในเอเชียกลาง ที่เคยตกอยู่ในสหภาพโซเวียต ( อาเซอร์ไบจาร์  คาซัสถาน เติรก์เมนิสถาน  และอุซเบกิสถาน) ล้วนเป็นประเทศที่มีทัพยากรทางธรรมชาติมหาศาลอันได้แก่ น้ำมันและก๊าซ  ซึ่งประเทศดังกล่าวไม่มีชายแดนติดกับทะแล  และมีความจำเป็นที่จะต้องส่งออกทัพยากรเหล่านี้สู่ตลาดโลก  จากความจำเป็นนี้เองจึงเกิดโครงการสัมปทานส่งท่อก๊าซขึ้นมา 

มีหลายช่องทางด้วยการที่จะส่งท่อก๊าซครั้งนี้และจากประเด็นการเมืองที่เข้ามาเกี่ยวข้องทำให้การดำเนินโครงการสัมปทานครั้งนี้เป็นไปได้สูงขึ้น

อิหร่านคือเส้นทางที่ใกล้ที่สุด  ซึ่งอิหร่านถูกอเมริกาคว่ำบาตร  แต่ก็ยังมีอีกช่องทางหนึ่งคือผ่านรัสเซียและจีน  และเส้นทางนี้อเมริกาเองได้คัดค้านและไม่ยินยอม  ด้วยเหตุนี้ ทางบริษัทน้ำมันของอเมริกา ยูโนเเคล  เสนอให้มีการส่งท่อก๊าซธรรมชาติและน้ำมันจากเติรก์เมนิสถานผ่านอัฟกานิสถานและปากีสถาน

แม้นว่าจะเกิดสงครามภายในอัฟกานิสถานและอิทธิพลของตอลิบันในประเทศนี้  ทางบริษัทยูโนแคล ก็มีความพยายามที่จะให้โครงการดังกล่าวดำเนินการต่อไป  ทางบริษัทมีการคำนวณค่าใช้จ่ายในการสัมปทานท่อก๊าซครั้งนี้จากเติรก์เมนิสถานถึงปากีสถาน ประมาณ สองพันล้านดอลลาร์ และท่อน้ำมันคาดว่าจะใช้งบประมาณ 2.5  พันล้านดอลลาร์  ซึ่งการลงทุนครั้งมหาศาลที่เสี่ยงอันตรายครั้งนี้เกิดขึ้นในประเทศที่กำลังจะเกิดสงครามภายใน

ในวันที่ 13   กุมภาพันธ์ ปี 1998      มีบุคคลหนึ่ง (ชื่อถูกลบออกแล้ว) ได้เสนอให้บริษัทยูโนแคลเปลี่ยนมาใช้เส้นทางจาก เตริก์กันดีสบียน โบลแดก และมาลงทุนในมัสยิดและโรงเรียนต่างของกันดาฮาร์ ในภูมิภาคแทน   หากบริษัทยูโนแคลดำเนินการตามข้อเสนอดังกล่าวนี้  มันจะเกิดโจทย์คำถามสำหรับข้าพเจ้าว่าในทันทีว่า  มันเป็นการเอื้อและปูทางหลบหนีให้กับอุซามะห์ บิน ลาเดิน หรือไม่ ???

แม้กระทั่งในปี 1998   หลังจากที่มีการบุกโจมตีสถานทูตอเมริกาในแทนซาเนียและเคนย่า ล้วนแล้วถูกบัญชาการจากอุซามะห์ บินลาเดน ทั้งสิ้นซึ่งขณะนั้นเขาพำนักอยู่ในอัฟกานิสถาน  และซาอุดิอาระเบียก็ยังคงให้กับสนับสนุนแขกคนพิเศษหรือตอลิบันของเขาอย่างต่อเนื่อง

ซาอุดิอาระเบียให้เงินสนับสนุนนับพันล้านดอลลาร์แก่ตอลิบัน  และการสนับสนุนช่วยเหลือทางการเงินที่ยังคงมีต่อเนื่อง แม้แต่หลังจากเหตุการณ์วินาศกรรมตึกเวิลด์แทรกเซ็นเตอร์และแพนตากอน  ขณะเดียวกันทางกระทรวงต่างประเทศอเมริกาก็ไม่เคยออกมาร้องเรียนในเรื่องนี้เลย  ด้วยเหตุผลอันนี้อย่าได้มองข้ามการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการของอเมริกาต่อเหตุการณ์ 11  กันยา   ที่ได้ละเลยในการสัมภาษณ์พลเมื่อชาวซาอุดิอาระเบียก่อนจะออกวีซ่า

บันดัร บินสุลตาน คือ ซุปเปอร์ทูต

คณะกรรมการซีไอเอ ทราบมาก่อนล่วงหน้าแล้วว่า ประตูของทำเนียบขาวจะให้การต้อนรับ บันดัร บินสุลตาน ทูตของซาอุดิอาระเบีย อยู่เสมอ  ขณะที่บรรดาสายลับต่างๆต่างเฝ้ารอนับแรมเดือนที่จะเห็นการพบปะส่วนตัว  สิ่งที่บันดารดำเนินการในการพบปะกับประธานาธิบดีอเมริกานั้นคือการยื่นข้อเสนอที่เร่งด่วนเท่านั้น

บันดัร ไม่ใช่บุคคลสามารถที่ใครสามารถพูดคุยหยอกล้อเล่นกันได้  แม้แต่หัวหน้าซีไอเอก็ยังไม่สามารถคุยหยอกล้อกับเขาได้  ครั้งที่บันดัรเกิดความครางแคลนสงสัยในตัวหัวหน้าข่าวกรองกลางของเมริกา ที่กดดันทางการซาอุดิอาระเบีย  เขาร้องเรียนประธานาธิบดีในทันที หลังจากนั้นหน่วยงานก็จะถูกกดดันอย่างหนัก 

การลงทุนของซาอุดิอาระเบียในอเมริกา

ในทศวรรษที่ 90   อเมริกาและชาติยุโรปจะมีต้นทุนการจ่ายเงินค่าน้ำมันน้อยกว่าชาติในเอเชีย

ในความเป็นจริงซาอุดิอาระเบียก็มีการลงทุนในสินค้าอุปโภคของสหรัฐอเมริกาด้วย

ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำมันได้ให้ข้อมูลกับข้าพเจ้าเมื่อเดือนกันยายน ปี 2001    โดยเฉพาะความแตกต่างในราคาน้ำมันระหว่างตลาดตะวันตกกับเอเชีย   หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญบอกกับข้าพเจ้าว่า (เอเชียจะมีการจ่ายภาษีน้ำมันของตนอย่างง่ายดาย และจะไม่มีการลดราคาน้ำมันที่ส่งออกให้กับอเมริกาแต่อย่างใด)  เหตุเช่นนี้ทำให้ซาอุดิอาระเบียที่ไม่สามารถคว้าโอกาสนี้ จึงต้องสูญเสียผลกำไรในตลาดน้ำมันโลกอย่างมหาศาล

หากในช่วงบ่ายหลังเหตุการณ์ 11   กันยา   ซาอุมีการส่งออกน้ำมันของตนเองสู่ตลาดโลกเพียงน้อยนิด   โดยอาศัยการล็อบบี้ของอเมริกา ก็จะสามารถที่จะได้กำไรอย่างมหาศาล  ซึ่งกรณีเช่นนี้มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปี 1990      เหตุการณ์สงครามอิรัก คูเวต  ที่ซาอุดิอาระเบียและพันธมิตร  ได้ทำการชดเชยน้ำมันที่ขาดไปจากอิรักและคูเวต   ประมาณ 5  ล้านบาร์เรลต่อวันทยอยขายสู่ตลาดน้ำมันโลก

ซึ่งหากพวกเขาต้องการให้น้ำมันแตะราคาที่ลิตรละ 100 ดอลลาร์ ต่อบาร์เรล ก็เป็นได้สูง โดยอาศัยช่องทางพายุแห่งทะเลทรายก็สามารถโกยกำไรได้อย่างมหาศาล   แต่ตรงกันข้ามในการเผชิญหน้าต้องพบกับอุปสรรค์ปัญหาทางการเงิน   เมื่อซาอุดิอาระเบียเพิ่มยอดส่งออกน้ำมันแต่กลับต้องสูญเสียรายได้อย่างมหาศาล   ทว่าซาอุดิอาระเบียไม่ต้องการให้อเมริกาลืมว่า ชาติใดเป็นผู้ผลิตจำหน่ายน้ำมันรายหลักในประเทศ 

ด้วยเหตุผลนี้ไม่เพียงแต่อเมริกาที่ไม่ต้องการผลิตน้ำมันเพิ่ม แต่กลับดื้อดานทนรับฟังการวิพากษ์วิจารณ์ ต่างๆนานาจากชาติในเอเชียต่อไป……..

 

โปรดรออ่านต่อตอนต่อไป

โดย อิบรอเฮง อาแว

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

เจาะประเด็นลึกจากหนังสือ SLEEPING WITH THE DEVIL (นอนกับปีศาจ) เปิดโปงผู้ก่อการร้ายตัวจริงในตะวันออกกลาง (ตอนที่1)