ในยุคสมัยใหม่ การเดินทางของข่าวสาร เป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดของมุมโลก ทุกคนสามารถติดตาม และรับฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นในทุกๆที่ แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะไกลออกไปอีกซีกโลกก็ตาม ในการส่งข้อมูล และเผยแพร่ข่าวสารนั้น ย่อมมีจุดมุ่งหมายเสมอ และเป้าหมายของมันก็คือ อาณาจักรทางความคิดของมนุษย์ พวกเขาถือว่า ผู้ใดครอบครองความคิดของมนุษย์ได้สำเร็จ เขาผู้นั้นจะเป็นผู้กุมอำนาจ และจะไม่มีสิ่งใดจะขวางกั้นเขาผู้นั้นได้อีก นั่นคือหลักการอันแยบยลของตะวันตก !!
เพื่อจะได้ครอบครองความคิด ความเชื่อ และความศรัทธาของมนุษย์ และหันมานิยมในสิ่งที่พวกเขานำเสนอ พูดในสิ่งที่พวกเขาอยากให้พูด ทำในสิ่งที่พวกเขาอยากให้ทำ จะต้องหาทางทำลาย ความศรัทธา ความเชื่อ และความคิด ที่มวลชนยึดมั่นเสียก่อน และหนึ่งในนั้นคือ การดูหมิ่นเกียรติของศาสดามุฮัมหมัด (ศ)
ถ้าได้ติดตามเรื่องราว “การดูหมิ่นศาสดามูฮัมมัด” ในช่วง ศตวรรษที่ 20 และ 21 นี้ จะพบว่า มีเหตุการณ์ทำนองนี้ถูกทำให้เกิดขึ้นมามากมาย โดยผู้เขียนขอเริ่มเรื่องราวจาก ซัลมาน รุชดี จนถึงชาลี เอปโด จะเห็นว่า ตะวันตก ไม่เคยเปลี่ยนแนวรบสงครามในการทำลายอารยธรรมทางศาสนา มาตลอดสองศตวรรษเลยแม้แต่น้อย และเมื่อถูกท้วงติงจากผู้นับถือศาสนา ทั้งที่เป็นมุสลิม และไม่ใช่มุสลิม และผู้รักในเสรีภาพ และความสันติ พวกเขาจะเอาคำว่า “เสรีภาพทางความคิด” หรือ “ประเทศเสรี” หรือ “เสรีภาพทางการแสดงออก” มาใส่ไว้ในปากตัวเองเสมอ
1.ซัลมาน รุชดี กับ โองการซาตาน
ซัลมาน รุชดี คือ นักเขียนชาวอินเดีย ถือกำเนิดในเมือง มุมไบ อินเดีย ปี 1947 ย้ายไปอยู่อังกฤษในเมื่ออายุได้ 14 ปี และอาศัยใช้ชีวิตอยู่ที่นั้น โดยถือสัญญาติอังกฤษในเวลาต่อมา ในปี 1968 เขาเป็นนักศึกษา มหาวิทยาลัย แคมบริทจ์ และสนับสนุนฝ่ายซ้าย เจ้าของหนังสือ โองการซาตาน ผลงานที่สร้างขึ้นมา โดยยึดข้อมูลจาก หลักฐานที่อ่อนแอ (ดออีฟ) ความสงสัย , การคาดเดา และการตีความตามความคิดของตัวเอง ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ เขียนในแนวนวนิยาย โดยการดูหมิ่นศาสดามูฮัมมัด (ศ), อิสลาม พระเจ้า และญิบรออีล
หนังสือโองการซาตาน ตีพิมพ์ในวันที่ 26 สิงหาคม 1988 โดยสำนักพิมพ์ Viking Press มีจำนวนประมาณ 547 หน้า แบ่งออกเป็น 9 ส่วน หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือที่ใช้อ้างอิงทางวิชาการ แต่เป็นนิยายที่แต่งขึ้นมาล้อเลียนศาสนา และมีการใช้คำสบประมาทมากมาย หลังจาก ที่หนังสือเล่มนี้ ถูกตีพิมพ์ ทำให้ชาวมุสลิมทั่วโลกต่างโกรธแค้นกับการดูหมิ่นอิสลาม ของซัลมาน รุชดี
มุสลิมทั่วโลกต่างรวมตัวกันประท้วง เพื่อบอยคอตหนังสือเล่มนี้ และขณะเดียวกัน เหล่าบรรดาผู้ครองอำนาจของตะวันตก ต่างก็ออกมาแสดงตัวปกป้อง นักเขียนคนนี้ โดย อ้าง คำว่า “เสรีภาพในการบรรยาย ” เพื่อสร้างความชอบธรรมในการดูหมิ่นศาสดา
ต่อมาหลังจากนั้น ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1989 อิมามโคมัยนีได้ ออกคำฟัตวาประวัติศาสตร์ โดยการสั่งประหารชีวิต ซัลมาน รุชดี จากการออกคำสั่งฟัตวานี้ บรรดาผู้รู้มุสลิม ทั้งซุนนี่ และชีอะฮ์ ต่างเห็นพ้อง โดยการประกาศสาส์นให้มุสลิมทั่วทุกมุมโลก ให้ปฏิบัติตามคำฟัตวานี้ ซึ่งในช่วงแรก รัฐบาลอังกฤษได้ให้ความคุ้มครองกับซัลมาน รุชดี โดยหน่วยความมั่นคง ได้นำตัวซัลมาน ไปซ่อนไว้ในเซฟเฮ้าส์ลับแห่งหนึ่ง และแก้เกมด้วยการใช้ สื่อตะวันตก โดยฉายคำว่า เสรีภาพ และ ความน่าหวาดกลัวของอิสลาม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ท่ามกลางกระแสการดูหมิ่นอิสลาม และการออกคำฟัตวา ประชาชนชาวอังกฤษได้ออกเดินขบวนประท้วง ให้ทางการอังกฤษ เลิกคุ้มครองชายผู้นี้เสีย อังกฤษจึงส่งซัลมาน ให้อยู่ในการคุ้มครองของ สหรัฐอเมริกาแทน และอาศัยใช้ชีวิตอยู่ที่ในเซฟเฮ้าส์แห่งหนึ่ง มาจนมาถึงทุกวันนี้
ประเด็นสำคัญ
ประเด็นที่ 1 การเผยแพร่การดูหมิ่นศาสดา(ศ) คือ เป้าหมายของหนังสือ โองการซาตาน
หนังสือ โองการซาตาน ไม่ได้เริ่มต้นในรูปแบบของการวิจารณ์หรือดูหมิ่นอิสลาม แบบไร้ทิศทางหรือเป้าหมาย พวกเขาได้เริ่มต้นในการดูหมิ่นอิสลาม โดยการใช้สิ่งเหล่านี้ เป็นนโยบายทางการเมือง แน่นอนว่า เมื่อศาสนาหนึ่ง เฉกเช่นอิสลาม ซึ่งมีประชากรโลกหลายพันล้านคน ได้ศรัทธา และยืดมั่น ศาสนานั้น ย่อมเป็นปัจจัยในการขับเคลื่อนสังคมไปสู่ทิศทางที่เป็นเป้าหมายของศาสนา การดูหมิ่นศาสนา จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และไม่ใช่ว่า ใครคิดอยากจะทำก็ทำได้ โดยไม่มีผู้ทรงอำนาจคอยหนุนหลัง
ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า แม่แต่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และประเทศพันธมิตรของสหรัฐบางประเทศ ไม่สามารถแสดงความเป็นปฏิปักษ์โดยตรง หรือ ดูหมิ่นต่อศาสนาโดยตรง และก็ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงรวมตัวกันพูดคุย เพื่อหาหนทาง หรือ หาใครสักคนหนึ่ง ที่จะมารับบท ผู้ต่อต้านศาสนา โดยสวมอาภรณ์ของนักคิด นักเขียน นักกวี เพื่อโจมตีอิสลาม จนกระทั่งว่า การดูหมิ่นอิสลามบริสุทธิ์เริ่มที่จะแพร่ขยายเป็นวงกว้าง พวกเขาจึงเลือกที่จะปั้นหนังสือเล่มหนึ่ง นามว่า โองการซาตาน ซึ่งเขียนโดยผู้ตกศาสนา เป็นวัตถุดิบในการตอบสนองนโยบายนี้
หลักฐานก็คือ ในช่วงที่ ซัลมาน รุชดี กำลังเขียนหนังสือ อยู่ที่อังกฤษ นิตยสารของสหรัฐฯ ต่างร่วมกันเผยแพร่หนังสือของเขาเป็นวงกว้าง เนื้อหาที่นิตยสารเหล่านี้นำมาเผยแพร่ เป็นสิ่งที่ทำให้หลายๆ คนต้องถึงกับช๊อค
จากบันทึกชีวิตของ อายะตุลเลาะฮ์ ซัยยิด อาลี คาเมเนอี (ก่อนเป็นผู้นำสูงสุด) ท่านได้เล่าถึงเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้น ว่า
“ข้าพเจ้าได้พิจารณา นิตยสารอเมริกาที่ส่งมาถึงที่นี่ และรู้สึกแปลกใจอย่างยิ่ง นี่มันคือ หนังสืออะไรกัน พวกเขาถึงได้พยายามเผยแพร่มันให้ได้มากขนาดนี้ ? แน่นอนมันคือหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นมา อย่างมีเป้าหมาย เพราะ ในทันทีทันใด สื่อทั่วทุกมุมโลก ต่างก็เริ่มหยิบปากกา , ไซออนิสต์ ผู้ซึ่งกุมอำนาจทางสื่อมากที่สุด , วิทยุ และสถานีโทรทัศน์ตะวันตก ต่างเริ่มกระจายข้อมูลกันจากมือหนึ่งสู่มือหนึ่งอย่างรวดเร็ว เพื่อ เผยแพร่หนังสือเล่มนี้”
หนังสือเล่มนี้ เปรียบเสมือนการเปิดประเด็นในการดูหมิ่นศาสดา ในยุคสมัยนั้น โดยการนำเอาศาสดามาเยาะเย้ยถากถาง และเปลี่ยนให้กลายเป็นนิยายที่ไม่มีความชัดเจนในเรื่องของการอ้างอิงหลักฐาน ซัลมาล รุชดี ได้นำชื่อของศาสดา ชื่อของภรรยาศาสดา ชื่อของบรรดาสาวก มาใส่กลายเป็นตัวละครในนิยายเล่มนี้ และดูหมิ่นแต่ละท่านราวกับเป็นเรื่องปกติ และหากใครคิดจะออกมาต่อต้าน ผู้มีอำนาจที่อยู่ข้างหลังของเขา ก็จะรีบออกมาประกาศทางสื่อทันทีว่า “นี่คือเสรีภาพทางการบรรยาย”
ประเด็นที่ 2 การออกคำฟัตวาสังหาร ซัลมาน รุชดี และการหยุดยั้งแผนสมคมคิดของ มหาอำนาจผู้หยิ่งยโส
เมื่อหนังสือ เล่มนี้ ถูกเผยแพร่ และประชาชนเริ่มอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายใน การดูหมิ่นอิสลาม จึงค่อยๆ กลายเป็นเรื่องปกติ เมื่อมันเป็นเรื่องปกติ นั่นคือ สิ่งที่พวกเขาต้องการ !! และประเด็นนี้ผู้เขียนเห็นว่า ควรจะกล่าวถึง บทบาทของ อิมามโคมัยนี ในการเคลื่อนไหว เพื่อสกัด และทำลาย แผนสมคบคิด จากคำบอกเล่าของซัยยิด อาลี คาเมเนอีย์ ดังนี้
“ในห้วงเวลานั้น อิมาม โคมัยนี ได้วางพื้นฐานความคิด และการไตร่ตรองอย่างละเอียดถี่ถ้วน รวมกับ รัศมีของพระผู้เป็นเจ้าที่ส่องสว่างในหัวใจของบรรดาปวงบ่าว ท่านได้ออกคำฟัตวา หรือ คำสั่งทางศาสนบัญญัติ “อิรติดาด” หรือ การตกศาสนา ของ ผู้ตกศาสนาคนหนึ่ง (ซัลมาน รุชดี) และกล่าวว่า “ชายผู้นี้ จะต้องถูกไต่สวนด้วย กฎหมายทางชัรอีย์ (นิติบัญญัติอิสลาม)”
รัฐบาลต่างๆ ของยุโรป และบรรดาทูตของพวกเขา ได้เรียกร้องอีหร่านให้ล้มเลิกภารกิจนี้ นี่เป็นการกระทำตรงข้าม มันเป็นเรื่องปกติหรือ ? หมายความว่า รัฐบาลต่างๆ อย่างอังกฤษ ฝรั่งเศษ อิตาลี เคยสนใจเป็นห่วง ชีวิตมนุษย์คนหนึ่งจริงมากขนาดนี้หรือ ? ทั้งที่พวกเขา ได้ทำตัวออกห่างจากมนุษย์นับพันคน เพียงแค่เรื่องเล็กๆเรื่องเดียว มีประเทศไหนบ้างที่ไม่เป็นเช่นนี้ ? มีประเทศไหนบ้างที่ไม่เคยสังหารหมู่มนุษย์ ? ถ้าหากวันนี้ ผลประโยชน์ของพวกเขา เป็นสิ่งที่ได้รับการการันตี คิดหรือว่าพวกเขาจะไม่ฆ่ามนุษย์เป็นพันๆคน ? พวกเขาถูกเผาไหม้ด้วยความเป็นห่วง มนุษย์กระนั้นหรือ ? ในวันเดียวกันนี่ละ ที่พวกเขาได้สังหารหมู่บรรดามุสลิม ในวันเดียวกันนี่ ที่อิสราเอล ได้ทรมาน เจ้าของแผ่นดินที่แท้จริง (ชาวปาเลสไตน์) แต่พวกเขากลับไม่ตื่นจากการหลับไหล แต่เมื่อ มีคนๆ หนึ่ง ถูกประกาศให้ประหารชีวิต เนื่องด้วยความผิดของเขา พวกเขาเหกลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ นี่คือ อีกประเด็นหนึ่ง พวกเขาได้วางแผนไว้แล้ว คือ แผนการดูหมิ่นอิสลาม และวางโครงสร้างในการทำให้อิสลามเจือจางลง แต่เพราะจากฟัตวาของอิมามโคมัยนี ในทันทีทันใด ทุกๆ แผนการและบทบาทของพวกเขา สูญเปล่าไปในทันที และโลกอิสลามต่างก็ยอมรับ และแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติตามฟัตวาฉบับนี้ของอิมามโคมัยนีทั่วโลกเช่นกัน
2 Kurt Westergaard ผู้เขียนการ์ตูนล้อเลียนชาวเดนมาร์ก กับการดูหมิ่นศาสดามูฮัมมัด(ศ)
ในปี 2007 นักวาดการ์ตูนล้อเลียน ชาวเดนมาร์ก ได้วาดภาพล้อเลียนศาสดามูฮัมมัด (ศ) ซึ่งทาง หนังสือพิม์ Jyllands-Posten ได้นำภาพเหล่านี้ออกเผยแพร่และตีพิมพ์ ผลจากการเผยแพร่ภาพล้อเลียนศาสดา (ศ) ได้ทำให้ชาวมุสลิมทั่วโลก รวมตัวกันประท้วง ต่อการดูหมิ่นศาสดาของชายผู้นี้ ประเด็นเหล่านี้ กลายเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่ถูกพูดถึงกันทั่วยุโรป ต่อมาทางฮอลแลนด์ก็ได้นำเรื่องนี้ไปปลุกกระแสอีกครั้ง โดยอ้างเรื่อง เสรีภาพทางความคิด และเสรีภาพในการบรรยาย
ทางรัฐบาลเดนมาร์กโดยมีนาย Anders Fogh Rasmussen นายกรัฐมนตรีเดนมาร์กในยุคสมัยนั้น ได้ออกแถลงข่าว เรื่อง กระแสการต่อต้านที่ตามมา หลังจากการเผยแพร่ภาพการ์ตูนล้อเลียน เช่นกันโดยทางเดนมาร์กนิวส์ได้รายงานว่า รัฐบาลเดนมาร์กได้ประกาศสนับสนุน ให้ตีพิมพ์ ภาพการ์ตูนล้อเลียนอีกครั้ง และยังประกาศผ่านสื่ออีกว่า พวกเขาไม่มีความกลัวว่า จะเกิดเหตุการณ์เหมือนกับปี 2006 แต่อย่างใด
นอกจากนี้ รัฐบาลเยอรมัน โดยนาย Wolfgang Schauble ยังประกาศสนับสนุน ให้ ตีพิมพ์ภาพการ์ตูนล้อเลียนดังกล่าวเผยแพร่ไปทั่วยุโรป โดยทางสำนักข่าว เดนมาร์กนิวส์ ได้รายงานว่า รัฐมนตรีเยอรมัน ได้เปิดเผยทัศนะของตนโดยการเรียกร้องให้สำนักพิมพ์ทั่วยุโรป เผยแพร่การ์ตูนล้อเลียนฉบับนี้
ประเด็นสำคัญ
ประเด็นที่ 1 ในทัศนะของ อิมามคาเมเนอีย์ ท่านถือว่า เบื้องหลังการเมืองอันชั่วร้ายนี้ คือ การเมืองของไซออนิสต์, สหรัฐ,แ ละมหาอำนาจผู้หยิ่งยโส ด้วยความคิดอันเป็นโมฆะของพวกเขา ว่าจะสามารถดึงอิสลามบริสุทธิ์ ออกจากสายตาของเยาวชนรุ่นใหม่ในโลกนี้ จากจุดที่สูงส่ง ให้ลงต่ำมาได้ และพวกเขายังพยายามปิดความรู้สึกในการเรียกร้องหาศาสนา ถ้าหาก วิธีการสกปรกเหล่านี้ ไม่ถูกสนับสนุนมาก่อน อย่าง ซัลมาน รุชดี หรือ นักวาดการ์ตูนล้อเลียนชาวเด็นมาร์ก และหาก ภาพยนต์ต่อต้านอิสลามมากมาย ไม่ถูกสนับสนุน โดยผู้ครองทุนอย่างไซออนิสต์ พวกเขาไม่มีทางจะมาถึง ความผิดพลาด และบาปอันยิ่งใหญ่ที่ไม่สามารถอภัยได้อย่างแน่นอน
ประเด็นที่ 2 การเคลื่อนไหว ในห่วงเวลาดังกล่าว เป็นเวลาเดียวกับ การกระแสการตื่นตัวของโลกอิสลาม กล่าวได้ว่า ทุกครั้งที่มีกระแสความนิยมอิสลามเกิดขึ้น ณ แห่งหนึ่งบนโลก มักจะมีเหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นตามมาเสมอ โดยในประเด็นนี้ ท่านซัยยิด อาลี คาเมเนอีย์ ได้กล่าวว่า “การเคลื่อนไหวตามความต้องการของศัตรูในครั้งนี้ เป็นการเผชิญหน้า กับกระแสการตื่นตัวของโลกอิสลาม เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า ความยิ่งใหญ่ความสำคัญของการตื่นตัวในครั้งนี้
3 หนังสือพิมพ์แสกนดิเนเวีย 17 สำนัก กับการเผยแพร่ภาพล้อเลียนศาสดา (ศ)
ในเวลาเดียวกัน สำนักหนังสือพิมพ์ทั้ง 17 แห่ง ทั่วประเทศแถบสแกนดีเนเวีย ได้ทำการตีพิมพ์ ภาพการ์ตูนล้อเลียนศาสดามูฮัมมัด (ศ) ในหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์แต่ละสำนัก
โดยทางสถานีโทรทัศน์ยูโรนิวส์ ได้แถลงข่าวเกี่ยวกับ การเผยแพร่ภาพล้อเลียนศาสดาอิสลาม โดยบรรณาธิการของสำนักหนังสือพิมพ์โดยพวกเขาได้กระทำการเผยแพร่ภาพเหล่านี้ เพื่อเป็นการประท้วง ในเรื่องแผนการลอบสังหาร นักวาดการ์ตูนล้อเลียนชาวเดนมาร์ก
ประเด็นสำคัญ
ประเด็นที่ 1 จากการเผยแพร่ภาพการ์ตูนล้อเลียนศาสดา (ศ) ไม่ได้ทำให้ หลักการเสรีภาพทางการบรรยาย ของตะวันตกถูกพิสูจน์แต่อย่างไร เพราะถ้าพวกเขา ทำการเผยแพร่ภาพดูหมิ่นศาสดา เพื่อแสดงถึงจุดยืนนี้อย่างแท้จริง ทุกคนในตะวันตก คงสามารถพูดถึงเบื้องหลังความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลเหล่านี้ ตัวอย่างหลักฐาน คือ พวกเขาไม่อนุญาตให้พูดถึงเรื่องโฮโลคอสต์ แต่กลับอนุญาตให้เผยแพร่การ์ตูนล้อเลียนศาสดาได้ ประเด็นหลักไม่ได้อยู่ที่เสรีภาพในการบรรยายแต่อยู่ที่บรรยายเรื่องอะไร ผู้เขียนเคยนำเสนอตัวอย่าง อิทธิพลในการเซ็นเซอร์ข้อมูลข่าวสารของบุคคลเหล่านี้มาแล้ว ซึ่งนั่นยอมเป็นตัวยืนยันที่ดี ว่า เสรีภาพในการบรรยายของพวกเขา คืออะไรก็ตามที่ผ่านการเซ็นเซอร์โดยผู้ที่อยู่เบื้องหลัง
ประเด็นที่ 2 จากการร่วมมือร่วมใจกันของ สำนักพิมพ์เหล่านี้ ย่อมชี้ให้เห็นว่า สื่อฝั่งตะวันตก มีทิศทางเดียวกันในทำลายในการต่อสู้ทางการเมือง แม้จะมีการอ้างเรื่องเสรีภาพในการบรรยาย แต่คำถามที่ผู้คนอยากจะฟังก็คือ เมื่อเผยแพร่แล้ว การเผยแพร่เหล่านี้ มันทำให้ หลักการเรื่องเสรีภาพในการบรรยาย มั่นคงยิ่งขึ้นอย่างนั้นหรือ ? และการยืนยันที่จะเผยแพร่ภาพดูหมิ่นศาสดา ทำให้ ตะวันตก เป็นประเทศที่มีคุณธรรม และใส่ใจกับเรื่องของสิทธิมากยิ่งขึ้นกระนั้นหรือ ? ถ้าเราอยากจะมองตะวันตกในมุมมองเรื่องของ การเมืองที่ขาวสะอาดแล้ว ผู้เขียนขอเสนอให้ตั้งคำถามว่า “มีกี่ประเทศในโลกนี้ที่ตะวันตกไม่ได้เข้าแทรกแซงบ้าง ? ซึ่งจะเห็นว่า จำนวนประเทศที่ตะวันตกไม่อาจแทรกแซงได้ มันช่างเบาบางเสียเหลือเกิน
และคำถามที่สองคือ ทุกครั้งที่พวกเขาต้องการแทรกแซงประเทศใด ประเทศหนึ่ง พวกเขาจะพูดเรื่องอะไรเป็นประการแรก ? คำตอบย่อมตายตัว ว่า ถ้าไม่ใช่ เรื่อง ประชาธิปไตย, เสรีภาพ, การละเมิดสิทธิ, นิวเคลียร์ ก็คำใดๆ คำหนึ่งซึ่งดูสละสลวยและมีคุณธรรม
และเมื่อเข้าแทรกแซงแล้ว คำถามที่สามคือ เกิดอะไรขึ้นบ้างจากการแทรกแซงของมหาอำนาจเหล่านี้ ใครได้โทษ ใครได้ผลประโยชน์ คำถามอันเป็นอรัมภบทเหล่านี้จะทำให้เรารู้จักบทบาททางการเมืองของตะวันตกได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
4 บาทหลวงเทอรี่ โจนส์ กับการจัดงานวันเผาอัลกุรอ่าน
ในปี 2012 เกิดกระแสการดูหมิ่นอิสลามอีกครั้ง โดยนาย เทอรรี่ โจนส์ บาทหลวงชาวสหรัฐ ได้ประกาศจัดกิจกรรมเผาอัลกุรอ่าน เพื่อประท้วงบรรดามุสลิม จากเหตุ 9/11 แต่เห็นได้ชัดว่ายังมีการวิเคราะห์ว่าสมควรจะจัดงานดังกล่าวหรือไม่ สาเหตุที่มีการลังเลในครั้งนี้ เนื่องมาจากฝ่ายทหารสหรัฐได้ท้วงติงมาว่า การเผาอัล-กุรอานอาจทำให้เกิดผลกระทบกับกองทัพสหรัฐที่ปฏิบัติการรบอยู่ในประเทศมุสลิมหลายประเทศ
นายพล David Petraeus ผู้บัญชาการกองทหารสหรัฐในอัฟกานิสถาน ออกแถลงการณ์ว่า การเผาอัล-กุรอานอาจก่อให้เกิดปัญหาใหญ่กับทหารสหรัฐ รวมทั้งจะกระทบความพยายามของสหรัฐทั้งมวล เกี่ยวกับการแก้ปัญหาในอัฟกานิสถาน
โจนส์ได้ตอบโต้แถลงการณ์ของ Petraeus ในการให้สัมภาษณ์ CNN ว่า ทางที่ดีท่านนายพลควรจะชี้นิ้วสั่งพวกอิสลามหัวรุนแรงเหล่านั้นให้หุบปาก มากกว่า และบอกพวกเขาว่า สหรัฐจะไม่มีวันคุกเข่า หรืออ่อนข้อให้
ในวันที่ 11 ก.ย.2012 สำนักข่าว สกายนิวส์ รายงานว่า ตำรวจแห่งรัฐฟลอริดาสหรัฐ ได้จับกุมตัวเทอรี่ โจนส์ ในวันพุทธ ซึ่งเขาถูกจับกุมตัวในขณะที่กำลังเดินทางยังจุดหมายที่จะลงมือทำการเผาอัลกุรอานจำนวน 3,000 เล่ม ตำรวจเมือง “โฟลค์” ไม่ได้เปิดเผยถึงข้อหาในการจับกุมตัวโทรี่ในครั้งนี้ แต่รายงานอ้างว่า สาเหตุที่ถูกจับกุมคือ ทางตำรวจตรวจพบยาเสพติดที่ซุกซ่อนในรถยนต์ของเขา
ตามรายงานของสื่อรัฐบาลอเมริกา เผยว่า ทางตำรวจได้ค้นพบอัลกุรอานซุกซ่อนในรถของเขา จำนวน 3,000 เล่ม ซึ่งที่ถูกราดด้วยน้ำมันสีขาว โจนส์ ได้ประกาศผ่านโลกไซเบอร์ ว่า ตนมีเจตนา ที่จะทำการเผาอัลกุรอานจำนวน 2998 เล่ม อีกครั้ง ในวันครบรอบ 12 ปี เหตุการณ์ 11กันยา
ประเด็นที่ 1 สิ่งที่ตะวันตกจะต้องรับผิดชอบ คือ การนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ และเน้นย้ำให้ใช้มาตรการอย่างจริงจัง ในกรณีที่มีการดูหมิ่นศาสนาเกิดขึ้น ไม่เพียงแต่ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพุทธ ก็เช่นกัน เมื่อมีการดูหมิ่น หรือการไม่ให้เกียรติ สิ่งที่ศาสนิกชนให้ความเคารพ พวกเขาควรจะแสดงความจริงใจ ต่อการให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้
ก่อนหน้านี้ ก็มีการเผยแพร่ภาพชาวฝรั่งนั่งเล่นบนเศียรของพระ หรือ การนำเอาเศียรของพระมาประกอบในภาพยนต์ หรือ การล้อเลียน พระพุทธเจ้า แต่เราก็ไม่เห็นบทบาทความจริงจังเหล่านี้จากตะวันตก แม้ว่าการกระทำดังกล่าว จะสร้างความขุ่นเคือง ให้กับ พี่น้องศาสนิกชนชาวพุทธก็ตาม
ในครั้งนี้ เป็นการประกาศการเผาอัลกุรอ่าน และจากแผนการอันนี้ ย่อมชี้ให้เห็นเป็นอย่างดีว่า ถ้าตะวันตก โปร่งใสในเรื่องนี้จริง พวกเขาจะต้องจับกุมตัวบาทหลวงคนนี้ ก่อนที่ นาย เทอรรี่ จะถูกจับกุมขณะที่กำลังเดินทางไปเผาอัลกุรอ่าน เพราะนายเทอรี่ ประกาศไว้ก่อนหน้านี้แล้ว การเพิกเฉยเหล่านี้ เป็นข้อพิสูจน์ว่า สหรัฐไม่เคยให้ความสำคัญกับจิตใจของศาสนิกชน แต่เมื่อมีใครสักคน เขียนภาพล้อเลียนศาสดา หรือ เขียนหนังสือดูหมิ่นศาสนา พวกเขากลับให้ที่หลบภัย พร้อมกำลังอารักขา เพื่อพิทักษ์ชีวิตของคนผู้นั้น พร้อมด้วยการประกาศสโลแกน เสรีภาพทางการบรรยาย
ประเด็นที่ 2 เป้าหมายหลักในการสร้างกระแสในครั้งนี้ ไม่ใช่ มีเป้าหมายเพื่อ 11 กันยา แต่อย่างใด แต่เป็นความพยายามในการสร้างความเกลียดชังระหว่าง มุสลิม และ คริสต์ และมีความพยายามในการ เพิ่มสีสันของการปฏิบัติการในนามของนักการศาสนา แต่แน่นอนว่า มุสลิมที่ติดตามสถานการณ์อยู่เสมอ ย่อมไม่ตกเป็นเครื่องมือ ของผู้อยู่เบื้องหลัง เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องใดๆกับ โบสถ์และศาสนาคริสต์ แต่มันเป็นเพียงการออกมาเคลื่อนไหว ของ บาทหลวงจอมปลอม เราผู้เป็นมุสลิม จะต้องไม่ให้กระทำการใดๆที่คล้ายกับการกระทำในลักษณะนี้ ต่อสิ่งที่ศาสนิกชนของศาสนาอื่นๆ ให้ความเคารพ
5 ภาพยนต์หมิ่นศาสดา กับการรวมตัวประท้วงของมุสลิมทั่วโลก
ในปี 2012 มีการเผยแพร่ภาพยนตร์ลบหลู่ศาสดาอิสลามมีผู้สร้างหนังแนววาบหวิวเป็นคนกำกับ เขียนบทโดยนักโทษคดีฉ้อโกง มีกลุ่มคริสเตียนหัวสุดโต่งเป็นผู้สนับสนุน
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ภาพยนตร์เรื่อง “Innocence of Muslims” เป็นภาพยนต์ที่สร้างความโกรธแค้นแก่ชาวมุสลิมทั่วโลก สร้างขึ้นโดยกลุ่มในสหรัฐ ที่ใช้ชื่อว่า “Media for Christ” และบางแหล่งข่าวรายงานว่า ผู้กำกับรายนี้ได้รับเงินทุนในการสร้างภาพยนต์จากชาวยิว จำนวนหลายล้านดอลลาร์ ซึ่งในช่วงเริ่มต้น พวกเขาได้เผยแพร่หนังตัวอย่างทางเว็บไซต์ยูทูบ ความยาว 14 นาที มาได้พักหนึ่ง จนกระทั่งโทรทัศน์ในอียิปต์ได้นำเสนอข่าวนี้
ผู้กำกับมีชื่อว่า อลัน โรเบิร์ต วัย 65 ปี ซึ่งเคยสร้างหนังโป๊และหนังแอ็กชั่นมาแล้วหลายเรื่อง เช่น Young Lady Chatterlay II และ Karate Cop
เว็บไซต์ Gawker ได้สัมภาษณ์พวกนักแสดงในหนังเรื่องนี้ ทุกคนต่างบอกว่าตัวเองถูกหลอกให้แสดง ซึ่งเดิมเข้าใจว่าเป็นหนังเชิงประวัติศาสตร์ แต่เพิ่งรู้ทีหลังว่าเป็นโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านศาสนาอิสลาม
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการโฆษณา ประชาสัมพันธ์โดยกลุ่มปีกขวา ชื่อ Coptic and Evangelical Christians ซึ่งเป็นเครือข่ายของชาวอเมริกันเชื้อสายอียิปต์ มอร์ริส ซาดิก กับนักเทศน์หัวรุนแรงในฟลอริดา เทอร์รี โจนส์
และจากการเผยแพร่ภาพยนต์ดังกล่าวทำให้เกิดกระแสการประท้วงของมุสลิมทั่วโลก ทั้งในประเทศไทย อิยิปต์ มาเลเซีย ลีเบีย อินเดีย อินโดนิเซีย อิหร่าน แอฟริกา และประเทศต่างๆในแถบยุโรป และตะวันออกกลาง กล่าวได้ว่า มีการประท้วงทุกทวีปของโลก เนื่องจากการเผยแพร่ภาพยนต์ดูหมิ่นศาสดาอิสลาม นอกจากนี้ ทางกูเกิ้ล และยูทูป ยังประกาศไม่ลบภาพยนต์ดังกล่าว จากการเรียกร้องของมุสลิม และทางด้านอิหร่าน ผู้นำสูงสุดของอิหร่านเรียกร้องให้ชาติตะวันตกระงับการเผยแพร่ภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาดูหมิ่นศาสดาของศาสนาอิสลาม
ประเด็นสำคัญ
ประเด็นที่ 1 การสร้างภาพยนต์ดูหมิ่นศาสดา (ศ) เรื่องนี้ เป็นการดูหมิ่นที่ไม่อาจเปรียบเทียบได้กับครั้งไหน เพราะเนื้อหาของภาพยนต์ทั้งหมดได้เปลี่ยนแปลงความจริงเกี่ยวกับศาสนา และ อิสลาม ไปอย่างหมดสิ้น แน่นอนว่า ก่อนหน้านี้ ก็เคยมีการดูหมิ่นศาสดา ในรูปแบบนี้มาแล้ว แต่ ภาพยนต์ฉบับนี้ ถือเป็นการดูหมิ่นที่แรงที่สุด จนทำให้ โลกอิสลามต่างออกมาเคลื่อนไหว ประท้วงอย่างพร้อมเพรียงกัน
ประเด็นที่ 2 จากการรวมตัวกัน และกระแสการตื่นตัวของอิสลาม พร้อมด้วยปัจจัน สภาวะ และเงื่อนไขต่างๆ ทำให้ เกิดการเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่อง ในการ โค่นล้ม รัฐบาลที่ขึ้นตรงกับ ตะวันตก ในห่วงเวลานั้น ซึ่งการรวมตัวของมุสลิม ยังเป็นจุดเด่น ที่แม้แต่ ชาติตะวันตก ก็ไม่อาจคาดคิดถึงผลของมันได้
ประเด็นที่ 3 ก่อนที่จะมีการสร้างภาพยนต์ดูหมิ่นศาสดา เรื่องนี้ ตะวันตกนำทีมโดย สหรัฐอเมริกา ได้ยึดหลักการในการสนับสนุน การดูหมิ่นมาเสมอ โดยใช้ข้ออ้างเรื่อง เสรีภาพในการบรรยาย ดังที่เราได้นำเสนอไปแล้วตั้งแต่ ซัลมาน รุชดี และหมากตัวอื่นๆ แต่เมื่อ มีสถานการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้น ทั้งยุโรปและสหรัฐที่อ้างว่า ไม่ได้มีปัญหากับอิสลาม และจะให้เกียรติศาสนานี้ กับทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับคำพูดของตัวเอง
ประเด็นที่ 4 ในอดีต สหรัฐและยุโรป ได้กล่าวหา ประเทศอิสลามบางประเทศ เช่น อิหร่าน ว่าเป็นประเทศนิยมความรุนแรง นโยบายด้านหนึ่งที่ชัดเจนที่สุดในสมัยนี้ คือ การแยกชีอะฮ ออกจากโลกอิสลาม โดยการใช้พวกอิสลามอเมริกาอีย์ อิสลามหัวรุนแรง เป็นผู้ตอบรับนโยบายเหล่านี้ แต่เมื่อ ประเด็นเรื่องการหมิ่นศาสดา(ศ)เกิดขึ้น ทั้งชีอะ และ ซุนนี่ ต่างร่วมมือ ร่วมใจ และพูดในภาษาเดียวกัน เพื่อปกป้อง ศาสนา ดังนั้น ถือได้ว่า นโยบายทางการเมืองของตะวันตกในการแบ่งแยกและยึดครองโลกอิสลาม เป็นความพ่ายแพ้ และความล้มเหลวในรูปแบบหนึ่ง
6 เหตุการณ์จับตัวประกันออสเตรเลีย
เหตุการณ์จับตัวประกันในออสเตรเลีย ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งซึ่งผลลัพธ์คือ กระแสความหวาดกลัวต่อโลกอิสลาม โดยมี นาย มาน ฮารูน โมนิส นักการศาสนากำลอ ซึ่งหนีคดีฉ้อโกงจากอิหร่าน ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน และบาดเจ็บอีก 4 ราย
เหตุการณ์จับตัวประกันในซิดนีย์สิ้นสุดลงแล้ว แต่ยังมี คำถามที่ไร้ซึ่งคำตอบ หลงเหลืออยู่ ซึ่งการตอบคำถามอันนี้ อาจทลายม่านที่ซ่อนความจริง มากกว่า เรื่องราวแค่ โจรจี้ตัวประกัน
สื่อตะวันตก ต่างร่วมตัวกัน เสนอข่าว เรื่องเหตุการณ์จับตัวประกันในซิดนี่ย์ อย่างพร้อมเพียงกัน โดยโจรจี้ตัวประกันรายนี้ คือหนึ่งในสมาชิก ผู้เข้าร่วม กลุ่มก่อการร้าย ISIS และญับฮาตุนนุศเราะฮ
โดยทางสำนักข่าว รอยเตอร์ ได้รายงานว่า “มีชายติดอาวุธ ได้เข้าร้าน คาเฟ่ แห่งหนึ่ง ในใจกลางเมืองซิดนีย์ และได้บังคับ ตัวประกัน ให้นำธงของ ISIS มาติดไว้ตามหน้าต่างของร้าน”
นอกจากนี้ ทางตำรวจ ยังใช้เวลาหลาย ชั่วโมง ในการปฏิบัติหน้าที่ และสามารถปฏิบัติภารกิจ ช่วยเหลือตัวประกันได้สำเร็จ หลังจากนั้น ภาพของโจรจี้ตัวประกัน ก็โผล่ขึ้นมาตามกล้องวงจรปิด
สำนักข่าว ฟาร์ซ รายงานว่า หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปได้ประมาณ 15 ชั่วโมง แหล่งข่าวจาก กระทรวงยุติธรรมของออสเตรเลีย รายงาน ระบุตัวตนของ โจรจี้ตัวประกันรายนี้ แต่ยังไม่ได้ ประกาศชื่อ หรือ สัญชาติของเขาแต่อย่างใด แต่เรื่องแปลกก็คือ สำนักข่าว รอยเตอร์ และสำนักข่าวอื่นๆของตะวันตก เช่น เอพี กลับรายงานข่าว โดยอ้างอิงจากตำรวจออสเตรเลีย ในทันที ว่า ชายมีอาวุธคนดังกล่าว เป็นอดีต เชค หรือ ผู้รู้ศาสนา ซึ่งถือสัญชาติอิหร่าน นาม ฮารูน โมนิส
ประเด็นสำคัญ
ประเด็นที่ 1 การเผยแพร่ข่าว เป็นไปอย่างรวดเร็ว และแทบจะไม่มีอะไรที่ทำให้เรา ไม่รู้จักนายคนนี้ได้เลย เพราะ ทันที ที่ข่าวออกมา ก็มีการเผยแพร่ ประวัติบุคคล ครอบครัว หรือ แม้แต่กระทั่งภาพที่เกี่ยวกับตัวเขา
นอกจากนี้ ทาง วิกีพิเดีย ก็ยังได้ นำเสนอประวัติของชายผู้นี้ด้วยเช่นเดียวกัน คือ นาย มูฮัมมัด ฮะซัน มันติกีย์ นักการศาสนา เกิดในอิหร่าน และลี้ภัยไป ออสเตรเลีย เมือง ซิดนี่ย์ ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น ฮารูน โมนิส ประเด็นนี้คือ สำหรับบุคคลทั่วไปแล้ว มันไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกยอมรับ สำนักข่าวสายตะวันตก ต่างพากันนำเสนอ เอกลักษณ์ และสัญชาติของเขา ให้เป็น อิหร่าน ฮารูน โมนิส ผู้ซึ่ง ประกาศการเข้าร่วม ISIS อย่างเป็นทางการ และการจับตัวประกัน ก็มีเป้าหมายเพื่อ แขวนธง ISIS แต่สื่อกลับขยายเรื่องไปในทิศทางของ ในการดึงอิหร่านเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ มีสมาชิก ISIS นับร้อยคนที่ถือสัญชาติ อเมริกัน หรือ ยุโรป ที่กำลังปฏิบัติการอยู่ในอิรัค และซีเรีย แต่กลับไม่มีความกังวลใดๆ กับคนเหล่านี้ จากคำกล่าว ของ รมต และ บุคคลระดับสูง ของตะวันตก ก็ไม่ได้แสดงให้เห็น ถึงความกังวล ในการที่จะมี คนสัญญาติตนเอง ไปเข้าร่วม ISIS และนอกจากนี้ สื่อตะวันตกก็เลือกที่จะไม่พูดถึง ความเกี่ยวข้องระหว่าง สหัรฐอเมริกา และตะวันตก กับ ISIS และเอาจริงแล้วๆ เหมือนกับว่า พวกเขาลืมไปเสียด้วยซ้ำ ว่า นักรบ ISIS ถือสัญชาตอะไรกันบ้าง และพวกเขาก็ลืมไปแล้วว่า อิหร่าน ได้พยายามปราบปราบ วิกฤตการณ์ตักฟีรีย์ มากเพียงใด
ประเด็นที่ 2 นับเป็นเวลาหลายปี ที่เหตุการณ์ทำนองนี้ เกิดขึ้น ในประเทศตะวันตก และทุกครั้ง ที่มี มีชาวอิหร่านเข้ามาเกี่ยวข้อง จะต้องมีการกล่าวประนามประเทศอิหร่านเสมอ เหมือนกับการกล่าวว่า ถ้าคนไทยสักคนหนึ่ง ทำผิดในต่างประเทศ ประเทศไทยทั้งประเทศจะต้องถูกประนาม ดังนั้น จากจุดนี้จึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่า มีผู้ประสงค์ร้าย คิดเอาเอกลักษณ์ของ นายฮารูน โมนิส มาใช้ในทางลบ
ประเด็นที่ 3 นายฮารูน โมนิส ได้ลี้ภัยทางการเมือง โดยศาสอิหร่าน ได้พิพากษา ความผิดในข้อหา กระทำการฉ้อโกงทรัพย์สิน แต่เขา อ้างว่า เพราะมีแนวคิด liberalism จึงขอลี้ภัยทางการเมืองไป ประเทศ ออสเตรเลีย และหลังจากที่ทางฝ่าย เจ้าหน้าที่ ได้ทำการตรวจสอบ และพิจารณา ความประพฤติ ความเหมาะสม และด้านอื่นๆ ของเขาแล้ว ทางการจึงมอบสัญญาติออสเตรเลีย ให้กับ ฮารูน โมนิส
ประเด็นที่ 4 ถ้าเราดูในคลิป หรือ วิดิโอ ที่ นาย ฮารูน ได้เผยแพร่ จะเห็นเขาแสดงให้เห็นถึง ความสุข และความสะดวกสบายหลังจากที่ได้ลี้ภัย ยังประเทศออสเตรเลีย แต่ไม่นานนัก ก็โดนคดี ล่วงละเมิดทางเพศ และยังอ้างอีกว่า เขาได้ทำข่มขืนผู้หญิง เพื่อรักษาโรคทางจิต ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่านั้น ก็คือ เวลาเดียวกันที่มีการเผยแพร่ข่าว ความเสื่อมทางจริยธรรม สื่อตะวันตก ก็ได้เปลี่ยนทิศทางกลายเป็น สื่อต่อต้านสงครามในทันที
ประเด็นที่ 5 และประเด็นสุดท้าย ในการเคลื่อนไหว ที่เปี่ยมสุขหลังจากหนีจากอิหร่าน คือ การเปลี่ยน มัซฮับ หรือ นิกาย ของเขา ตามคำประกาศ เมื่อวันที่ 24 เดือนมุฮัรรอม ของอาหรับ ฮารูน โมนิส ได้ ประกาศมอบสัตยาบัน ให้กับ อบูบักร อัลแบคดาดีย์ และได้ถือว่า อบูบักร เป็น อิมามซะมาน ของเขา หรือ ผู้นำซึ่งถูกสัญญาไว้ตามความเชื่อของทุกๆนิกายในอิสลาม ซึ่งประเด็นนี่ เป็นประเด็นที่น่าสนใจ และน่าขบคิดมากที่สุด เพราะหลังจากการเผยแพร่ คำมอบสัตยาบันของนายฮารูน โมนิส แล้ว รัฐบาลซิดนีย์ ไม่ได้ออกคำสั่ง หรือแม้แต่ดำเนินการสอบสวนใดๆ ชายผู้นี้ และทางการซิดนีย์ ก็ทราบข่าว ถึงการประกาศตัว เป็น ISIS ของชายผู้นี้ดี
ประวัติศาสตร์ได้บอกเล่าเรื่องราวของมันว่า เป็นเวลาหลายปีแล้ว ที่องค์กรณ์สื่อ-การเมือง ของตะวันตก ได้สร้างความปั่นป่วน โดยใช้ คีย์เวิร์ดเฉพาะ ในการสร้างอิทธิพลสื่อ ในโลก ไม่ว่าจะเป็นการโยงใยในเรื่องสัญชาติ , ศาสนา หรือ การนำคำเฉพาะมาใช้ เพื่อเปลี่ยนความหมายตามความเป็นจริง ในกรณีนี้ เราก็ได้เห็นกันอีกครั้งว่า หัวข้อข่าวของสื่อเหล่านี้ คือ การนำเอาภาพของนายฮารูน โมนิส ในชุดนักการศาสนา มาเผยแพร่ และแน่นอน ประเด็นนี้ จะกลายเป็น เรื่องที่จะถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความปั่นป่วนอีก ในอนาคต
และที่น่าแปลกไปกว่านั้น คือ ทำไม สื่อต่างๆ ถึงพยายามนำเสนอ ภาพลักษณ์ของกลุ่มก่อการร้าย โดยใส่คำว่า มุสลิม, ชีอะฮ, อิหร่าน เขาไป ภายหลังจากเสร็จสิ้น วันครบรอบอัรบาอีน เพียงไม่กี่วัน ขณะเดียวกัน การที่คนร้ายได้แสดงสัญลักษณ์ของความเป็นมุสลิม ก็ได้สร้างกระแสเกลียดชังศาสนาอิสลาม (islamophobia) ยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งในออสเตรเลียรวมทั้งในยุโรปก็มีความความพยายามที่จะสร้างกระแสดังกล่าวอยู่แล้ว
7 ชาร์ลี เอปโด กับ การล้อเลียนศาสดาอิสลาม (ศ)
การบุกโจมตีโดยกลุ่มอิสลามิสต์ที่อาคารสำนักงานของนิตยสารชาร์ลี เอ็บโด ในกรุงปารีสเมื่อ ในวันที่ 7 มกราคม 2014 มีผลสืบเนื่องจากการเผยแพร่ภาพการ์ตูนล้อเลียนศาสดา ทั้งนี้ มีการตั้งขอสงสัยและข้อสังเกตมากมายเกี่ยวกับเบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ ว่าอาจเป็น “การจัดฉาก” เพื่อกล่าวหามุสลิมและสร้างกระแสโรคกลัวอิสลาม (Islamophobia) ทั้งเรื่องของการถ่ายคลิปจาก Handy cam ที่มีความต่อเนื่องกันตั้งแต่ต้นจนจบ หรือ เรื่องเส้นขีดตำแหน่งปฏิบัติการ และทางสำนักข่าวอย่าง ดิเอนดิเพนเดนท์ ก็ยังได้เรียกการรวมตัวของ ผู้นำกว่า 40 ประเทศที่มาร่วมไว้อาลัย ในเหตุการณ์นี้ว่า “เอกภาพในความชั่วร้าย” อีกด้วยเช่นกัน
บอร์ซู ดาราฆาฮี (Borzou Daragahi) ผู้สื่อข่าวของ Financial Times ในภาคพื้นตะวันออกกลางได้ให้ความเห็นไว้ว่า “ดูเหมือนว่าบรรดาผู้นำของโลกจะไม่ได้ “นำ” การเดินขบวนเพื่อไว้อาลัยต่อชาร์ลี เอบโด ในปารีส แต่เป็นการแสวงหาโอกาสในการเก็บรูปภาพอย่างเป็นทางการบนความว่างเปล่า หรือไม่ก็เดินเพื่อปกป้องถนน”
เอียน เบรมเมอร์ (Ian Bremmer) นักรัฐศาสตร์และผู้ก่อตั้งกลุ่มยูเรเซีย (Eurasia Group) ได้กล่าวว่า “ทุกคนล้วนเป็นผู้นำของโลก แต่ไม่ใช่ “ที่” การชุมนุมในปารีสอย่างแน่นอน”
และอีกคำวิจารณ์จากเกอรี่ ฮัสซัน (Gerry Hassan) นักวิเคราะห์ชาวอเมริกาได้เรียกการมีส่วนร่วมของบรรดาผู้นำชาติต่างๆว่า “ความมีน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการหลอกลวง”
ได้มีการตั้งข้อสังเกตว่าเก้าประเทศจากทั้งหมด ที่เป็นตัวแทนของบรรดาผู้นำและบุคคลสำคัญในการเดินขบวนเพื่อสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน คือประเทศของตนเองที่อยู่ในกลุ่มลำดับล่างสุดในการให้สิทธิเสรีภาพแก่สื่อมวลชนตามดัชนีชี้วัด (รวบรวมข้อมูลโดยกลุ่มผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน)
และนอกจากนี้ยังมีข้อมูลยืนยันว่า ผู้อยู่เบื้องหลังการก่อการร้าย ในปารีส ไม่ใช่ใครอื่น นอกจาก CIA โดยสำนักข่าวเอพี (The Associated Press) ระบุว่า หนึ่งในจำนวนผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบต่อเหตุก่อการร้ายเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 12 คน ในเมืองหลวงของฝรั่งเศส น่าจะอาศัยอยู่กับชายชาวไนจีเรียที่อยู่เบื้องหลังแผนการ “ระเบิดชุดชั้นใน” ที่ล้มเหลวของอัล-กออิดะฮ์เมื่อห้าปีที่แล้ว
ประเด็นสำคัญ
ประเด็นที่ 1 บทวิเคราะห์ของ สโนว์เดน กับ เบื้องหลัง ชาร์ลี เอปโด
อดีตเจ้าหน้าที่ NSA ผู้ที่นำความลับของรัฐบาลสหรัฐมาเปิดโปง ฮีโร่และผู้ก่อกวนระบบความมั่นคง ได้ออกมาเปิดเผย ว่า รมต.อิสราเอล มีส่วนกี่ยวข้องกับสถานการณ์ก่อการร้ายที่สำนักพิมพ์ชาร์ลี เอปโด
สโนว์เดน ให้สัมภาษณ์กับ นสพ.รัสเซีย ว่า รัฐบาลอิสราเอล มีปัญหาเรื่องการอพยพของชาวยิวในหลายๆ ปีที่ผ่านมา และเพราะเรื่องนี้ ทาง รบ.ไซออนนิสต์ จึงออกใบสั่งให้มอสสาด หาวิธีในการ หยุดการอพยพเหล่านี้ สโนว์เดนเปิดเผยว่า องค์กรทางด้านข้อมูล และเจ้าหน้าที่พิเศษของอิสราเอล ได้ตอบรับใบสั่งของทางการ โดยการทำการเผยแพร่ภาพดูหมิ่นศาสดาอิสลาม (ศ) ในประเทศต่างๆ ของตะวันตก เพื่อสกัดกระแสการต่อต้านชาวยิวที่อาศัยอยู่ในยุโรป ทำให้กระแสเหล่านี้เงียบหายไป
สโนว์เดนเผยว่า ในปี 2005 เคยมีการเผยแพร่ภาพดูหมิ่นศาสดามาแล้ว แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่พวกเขาได้หวังไว้ หลังจากนั้น พวกเขาก็เริ่มต้นภารกิจนี้อีกด้วย โดยการใช้ พิทบูล ในปี 2012 และเหตุการณ์ก่อการร้าย ชาลี เอปโด และซูเปอร์มาร์เก็ตชาวยิวในปารีส
ประเด็นที่ 2 มัสยิด 75 แห่งในฝรั่งเศส ถูกก่อกวน หลังจาก เหตุการณ์ชาลี เอบโด และการแทงเพื่อนบ้าน 30 แผล เหตุเพราะเป็นมุสลิม
สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ได้ทำให้ ชาวมุสลิม ในฝรั่งเศส รู้สึกภาคภูมิใจแต่อย่างใด มีเพียงแต่อิสลามอเมริกาอีย์ อย่าง ISIS ที่ อยู่ใกล้โพ้นออกมาแสดงความดีใจ และนับผู้ก่อการเป็นพวกพ้องของตน หลังเกิดขึ้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นอีกด้านหนึ่ง คือ ผลกระทบที่มีต่อมุสลิมในฝรั่งเศส ซึ่งทาง นสพ ฝรั่งเศส และ นสพ อัลกุดส์อัลอาราเบีย ฉบับตีพิมพ์ลอนดอน ได้รายงานว่า ทางสภาชูรออิสลามแห่งฝรั่งเศส ได้ออกแถลงการ์ว่า หลังเหตุชาร์ลี เอบโด มีมัสยิดกว่า 75 หลัง ถูกโจมตี และมุสลิมจำนวนหนึ่งถูกลอบทำร้าย โดยนาย อะฮหมัด ริฎวาน อิมามนมาซญะมาอัตของมัสยิดแห่งหนึ่งในตัวเมืองปารีส ได้ให้สัมภาษณ์กับทาง นสพ ว่า มีการโจมตีมัสยิดในฝรั่งเศสหลายครั้ง เพื่อทำการล้างแค้น โดยการบุกโจมตีในบางแห่งมีระดับความรุนแรงที่น่าวิตก และมีการยิงปืนใส่มัสยิด เมือง โลโมน หลายครั้ง และมีร้านอาหารมุสลิม ถูกก่อกวน และโจมตี อะฮหมัด ริฎวาน กล่าวว่า “ตำรวจกลับนิ่งเงียบจากการโจมตีเหล่านี้ ซึ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้เลย”
ทาง นสพ ฝรั่งเศสบางฉบับ ก็รายงานเช่นกันว่า หลังเหตุการณ์ ชาลี เอบโด มีการวางระเบิดมัสยิดในหลายแห่ง หรือ การเอาหัวหมูไปตั้งไว้หน้ามัสยิด เพื่อแสดงการต่อต้าน และความเกลียดชังอย่างเปิดเผย และยังมีเหตุการณ์เพื่อนบ้านฝรั่งเศสลอบแทงเพื่อนบ้านชาวมุสลิม จนถึงขั้นเสียชีวิต
ประเด็นที่ 3 ถ้า เสรีภาพทางการบรรยาย เป็นเรื่องจริง ทำไม การดูหมิ่นศาสดา จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และการพูดถึงเรื่อง ยิว ถึงเป็นสิ่งต้องห้าม
ประเด็นนี้ ต้องพูดถึง นักวาดการ์ตูนล้อเลียนชื่อดังอีกคนหนึ่ง นามว่า มอริส ซีน หนึ่งในนักวาดการ์ตูนของชาลี เอปโด ถูกไล่ออก เพราะมีเจตนาต่อต้านยิว ซึ่งเรื่องนี้ ทาง เอบีนิวส์ ได้นำเสนอไว้แล้วในบทความชื่อ ทำไมผมถึงไม่เป็นชาลี เอบโด นายมอริส ถูกไล่ออก ด้วยข้อหาเจตนาต่อต้านยิว เพราะเขาได้ วาดการ์ตูน ล้อเลียน ลูกชายของอดีต ปธน ฝรั่งเศส ที่เปลี่ยนไปนับถือ ศาสนายิว คำถามก็คือ ทำไม การล้อเลียน บุคคลเกี่ยวข้องกับ ยิว จะต้องถูกแบนทุกครั้งเสมอไป แต่เมื่อ มีการล้อเลียนอิสลาม พวกเขากับอ้างเรื่อง เสรีภาพทางการบรรยาย
ประเด็นที่ 4 ชาลี เอบโด ไม่ได้มีประวัติที่ขาวสะอาดและซื่อตรงต่อการนำเสนอข้อมูล เพราะ ชาลี เป็นหนังสือ ที่นำเสนอที่สิ่งที่จะนำมาซึ่งความเกลียดชัง ไม่ใช่ นสพ ที่ แสดงถึงเสรีภาพในยุคสมัยใหม่ และการเผยแพร่ นสพ ก็มีข้อสงสัยหลายประการ หนึ่งในนั้น ก็คือ เมือการเผยแพร่ภาพดูหมิ่นศาสดา จำนวนการตีพิมพ์ และการจำหน่ายกลับมากกว่า ฉบับอื่นๆที่เคยตีพิมพ์มา และยังจงใจในการสร้างกระแสความเกลียดชังต่ออิสลามให้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น อย่างที่นาย มอริส ได้เล่าไว้
“มันต้องการจะเสี้ยมความขัดแย้งให้แหลมคมยิ่งขึ้น และส่งเสริมการต่อสู้ระหว่างมุสลิมกับผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมในฝรั่งเศสให้หนักหน่วงขึ้น”
แนวทางในการรับมือ กับการดูหมิ่นอิสลาม ตามคำชี้นำของ อายะตุลเลาะฮ์ ซัยยิด อาลี คาเมเนอี
ในส่วนสุดท้าย จึงมาถึง ภาคการปฏิบัติในการเผชิญหน้า กับ การดูหมิ่นอิสลาม การดูหมิ่นศาสดา (ศ) เราจะต้องทำอะไรเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ผู้เขียน ขอนำเสนอ แนวทางในการรับมือ กับการดูหมิ่นศาสนา ศาสดา ตามคำแนะนำของ ซัยยิด อาลี คาเมเนอี ดังนี้
1 ทำการศึกษาและทบทวน บทเรียนต่างๆจากคำสอน และการกระทำของศาสดา(ศ)อิสลาม
2 นำเสนอเอกลักษณ์ที่แท้จริงของศาสดา(ศ)
3 รักษาเอกภาพโดยมีศาสดาเป็นจุดเชื่อมจิตใจในการต่อต้านศัตรูอิสลาม
4 พิจารณาและค้นหาความจริงที่อยู่เบื้องหลังการดูหมิ่น และตัวการผู้สร้างความขัดแย้ง
5 หลีกเลี่ยงความขัดแย้งระหว่าง มุสลิม และ คริสต์
6 เรียกร้องการลงโทษต่อบรรดาผู้ดูหมิ่นศาสดา จากบรรดาผู้นำประเทศที่เกิดเหตุการณ์เหล่านี้
1 ทำการศึกษาและทบทวน บทเรียนต่างๆจากคำสอน และการกระทำของศาสดา(ศ)อิสลาม
เมื่อไซออนิสต์ และรัฐบาลที่ขึ้นกับไซออนิสต์ ต้องการทำให้ ประชาชาติอิสลามตกต่ำ พวกเขาจะใช้อิสลามสร้างความขัดแย้งภายใน โดยการใช้ศาสดา (ศ) เป็นเป้าหมายในการโจมตี หมายความว่า การรำลึกถึงผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ การรำลึกถึงวันประสูติของท่าน การรำลึกถึงรูปแบบและวิถีทางการใช้ชีวิตของท่านศาสดา(ศ) สามารถมอบบทเรียนที่นำมาสู่การพัฒนา และความก้าวหน้าของมุสลิมได้เป็นอย่างดี หากพวกเขาทำการพิจารณา ศาสดา คือ การชี้นำสำหรับ มุนษย์ และสำหรับประชาชาติอิสลาม การกลับไปทบทวนถึงแก่นแท้ และวิถีของศาสดาอย่างแท้จริง คือ จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับประชาชาตินี้ หมายถึง คนจำนวน 1,500 ล้านคน ซึ่งแน่นอนว่า นั่นย่อมเป็นอันตรายกับไซออนิสต์อย่างแน่นอน หนึ่งในตัวอย่างของความสำเร็จก็คือ กระแสความตื่นตัวของโลกอิสลาม เมื่อมีการนำเสนอภาพลักษณ์ของศาสดา ที่ต่อต้าน ผู้กดขี่ขึ้นอีกครั้ง และเมื่อทุกคนเข้าถึงหลักการของศาสดา ประการนี้ การต่อสู้เพื่อ ความยุติธรรม และโค่นล้มผู้กดขี่ จึงเริ่มต้นขึ้น
ซัยยิด อาลี คาเมเนอี กล่าวว่า
“มุสลิมทุกคนจะต้องตื่นขึ้นมา และจะต้องทำเข้าใจ ถึง การมีอยู่ของท่านศาสดา,บุคลิคภาพของท่านศาสดา,บันทึกชีวิตของท่านศาสดา(ศ) ,การฮิจเราะฮของท่านศาสดา,การญิฮาดของท่านศาสดา,บทเรียนต่างๆทั้งจากคำพูด และการปฏิบัติของท่านศาสดา สิ่งนี้นับเป็นคลังความรู้อันยิ่งใหญ่สำหรับสำหรับมุสลิม และหากเราใช้ประโยชน์จากคลังความรู้นี้ ประชาชาติอิสลาม จะไปถึงยุคสมัยหนึ่งซึ่ง ไม่มีใครสามารถรังแกพวกเขาได้อีกต่อไป ประชาชาติอิสลามจะไปถึงยุคสมัยหนึ่งซึ่ง จะไม่มีใครสามารถบีบคั้นพวกเขาได้อีก ประชาชาติอิสลามจะไปถึงยุคสมัยหนึ่งซึ่ง ไม่มีใครสามารถข่มขู่พวกเขาได้อีก นี่คือ บทเรียนสำหรับเรา”
2 นำเสนอเอกลักษณ์ที่แท้จริงของศาสดา(ศ)
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การนำเสนออิสลาม ที่ไม่ถูกแต่งเสริมเติมต่อ ตลอดหลายศตวรรษบรรดาศัตรู,มิตรสหายผู้โง่เขลา,ผู้เพิกเฉย ได้ทำให้อิสลามอันเจิดจรัส แปดเปื้อนด้วย คาวเลือด และความรุนแรง และด้วยการนำเสนออิสลาม จากคนเขลา ได้ทำให้อิสลามที่แท้จริงกลับถูกบดบังด้วยความมืดมน
ในประเด็นนี้ซัยยิด อาลี คาเมเนอี ได้ให้คำแนะนำว่า
“ในวันนี้แม้จะมีจะมีความอ่อนแอในเรื่องการทำความเข้าใจ และการแสวงหาผลกำไรจากภายใน โดยการบิดเบือนภาพลักษณ์ของอิสลาม ทว่าโดยสัจธรรมแล้ว การโฆษณาของบรรดาศัตรูยังมีมากกว่านั้น พวกเขาต่างก็กำลังหมกหมุ่นกับการใช้วิธีการต่างๆที่เฉียบคมและร้ายกาจ โอ้พี่น้องชาวมุสลิม ภารกิจอันยิ่งใหญ่ของเรา คือ การรู้จักอิสลามที่แท้จริง และการทำให้ผู้คนรู้จักศาสนานี้…..
3 รักษาเอกภาพโดยมีศาสดาเป็นจุดเชื่อมจิตใจในการต่อต้านศัตรูอิสลาม
การมีศาสดา ผู้ทรงเกียรติ(ศ) นับเป็นจุดสำคัญที่สุดในการสร้างเอกภาพ ก่อนหน้านี้เราได้นำเสนอไปแล้วว่า โลกอิสลาม สามารถรวมกันได้ด้วย จุดสำคัญอันนี้ นี่คือ แนวทางการสร้างความสัมพันธ์สำหรับมุสลิมทุกๆคนโดยมีศาสนา เป็นศูนย์กลาง ในการสร้างความรัก และมิตรภาพ
ในประเด็นนี้ ซัยยิด อาลี คาเมเนอี กล่าวว่า
“ท่านจะเห็นว่า ผู้ถือปากกาได้รับค้าจ้างจากไซออนิสต์ โดยการใช้จุดสำคัญอันนี้ และได้ดูถูก และหมิ่นเกียรติ ต่อศาสดา เพื่อให้การให้ความสำคัญต่อการดูหมิ่นต่อประชาชาติมุสลิม และการดูถูกโลกอิสลาม ค่อยๆจืดจางไปนี่คือประเด็นหลักอันสำคัญ บรรดานักการเมือง นักวิชาการ นักเขียน นักกวี ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะ จะต้องอาศัย จุดสำคัญอันนี้ และมุสลิมทุกคนจะต้องสร้างความใกล้ชิดต่อกันด้วย สโลแกนนี้ พวกเขาจะต้องไม่นำเสนอในเรื่องของความขัดแย้ง หรือกล่าวหาและก่นดาต่อกัน จะต้องไม่ตักฟีรต่อกัน หัวใจของอุมมัตอิสลามทุกดวง จะต้องรำลึก และสร้างความรักต่อศาสดา และพวกเราทุกคนจะต้องมอบความรัก และหัวใจ ให้กับผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้”
4 พิจารณาและค้นหาความจริงที่อยู่เบื้องหลังการดูหมิ่น และตัวการผู้สร้างความขัดแย้ง
เบื้องหลังการเคลื่อนไหวเหล่านี้ คืออะไร และคือใคร ? การทบทวน และศึกษา ถึงกระบวนการอันมีความชั่วร้ายเหล่านี้ ในหลายๆปีที่ผ่านมา จะทำให้เราเข้าถึงความจริงที่อยู่เบื้องหลัง และทำให้เรารู้จักโฉมหน้าของศัตรูผู้ที่เป็นตัวการในการสร้างความขัดแย้งเหล่านี้
ซัยยิดอาลี คาเมเนอี ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า
“อาชญากรรมที่เกิดขึ้นใน อัฟกานิสถาน อิรัค ปาเลสไตน์ เลบานอน ปากีสถาน เป็นผลที่ควบคู่จากยุทธศาสตร์เหล่านี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผู้นำเสนอ ผู้บัญชาการ ผู้ออกคำสั่งนั่งเขียนใบสั่งอยู่ในห้องของนักล่าอาณานิคม และห้องความคิดแบบไซออนิสต์ ห้องซึ่งมีอิทธิพลต่อสหรัฐอเมริกา และองค์กร์หน่วยงานความมั่นคง และกองทัพ รัฐบาลอังกฤษ และยุโรป มากที่สุด เบื้่องหลังการเมืองอันชั่วร้ายนี้ คือ การเมืองของไซออนิสต์,สหรัฐ,และมหาอำนาจผู้ยิ่งยโส ด้วยความคิดอันเป็นโมฆะของพวกเขา ว่าจะสามารถดึงอิสลามบริสุทธิ์ ออกจากสายของเยาวชนรุ่นใหม่ในโลกนี้ จากจุดที่สูงส่ง ให้ลงต่ำมาได้ และพวกเขายังพยายามปิดความรู้สึกในการเรียกร้องหาศาสนา ถ้าหาก วิธีการสกปรกเหล่านี้ ไม่ถูกสนับสนุนมาก่อน อย่าง ซัลมาน รุชดี หรือ นักวาดการ์ตูนล้อเลียนชาวเด็นมาร์ก และหาก ภาพยนต์ต่อต้านอิสลามมากมาย ไม่ถูกสนับสนุน โดยผู้ครองทุนอย่างไซออนิสต์ พวกเขาไม่มีทางจะมาถึง ความผิดพลาด และบาปอันยิ่งใหญ่ที่ไม่สามารถอภัยได้อย่างแน่นอน”
5 หลีกเลี่ยงความขัดแย้งระหว่าง มุสลิม และ คริสต์
เหตุการณ์ 11 กันยา เป็นเพียงข้ออ้างในการบุกโจมตี อัฟกานิสถาน และอิรัค โดยประธานาธิบดี มือเปื้อนเลือดในเวลานั้น และเขาก็ได้เปิดสงครามครูเสดขึ้นมาอีกครั้ง เพราะตัวเขาเองได้ประกาศว่า สงครามครูเสดครั้งนี้ จะสมบูรณ์ได้ ต้องให้โบสถ์มาเข้าร่วมในศึกนี้ และนอกจากนี้เป้าหมายในการเผาอัลกุรอ่าน ของนาย เทอรรี่ ก็เพื่อสร้างความขัดแย้งระหว่างอิสลาม กับคริสต์ ในสังคมของชาวคริสต์
อยาตุลลอฮ ซัยยิด อาลี คาเมเนอี ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า
“ทุกคนจะต้องรู้ว่า เหตุการณ์นี้ไม่เกี่ยวข้องกับโบสต์และศาสนาคริสต์แต่อย่างใด และเคลื่อนไหวในครั้งนี้เป็นเพียงการเคลื่อนไหวของหุ่นเชิดในนามบาทหลวงผู้โง่เขลา ดังนั้น จะต้องไม่มีใครโยนความผิดให้ชาวคริสต์ และศาสนิกชนผู้ยืดมั่นในศาสนาของพวกเขา เราผู้เป็นมุสลิม จะต้องไม่ทำในสิ่งที่ใดก็ตามที่เป็นการดูหมิ่นสิ่งที่ศาสนาอื่นๆให้ความเข้าร่วม และความขัดแย้งระหว่าง มุสลิม และชาวคริสต์ คือ ในเชิงทั่วไป คือสิ่งที่ศัตรู และผู้วางแผนการอันบ้าคลั่งเหล่านี้ต้องการ”
6 เรียกร้องการลงโทษต่อบรรดาผู้ดูหมิ่นศาสดา จากบรรดาผู้นำประเทศที่เกิดเหตุการณ์เหล่านี้
เมื่อมีเหตุการณ์ ดูหมิ่นศาสดา เกิดขึ้นในประเทศใดประเทศหนึ่ง บรรดามุสลิม จะต้องเรียกร้องจากผู้มีอำนาจของประเทศนั้น ให้ทำการตัดสินและพิจารณาอย่างยุติธรรมต่อเรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้ โดยเฉพาะประเทศตะวันตก และยุโรป
ซัยยิด อาลี คาเมเนอี ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า
” เราไม่ได้ต้องการพิสูจน์ว่า ว่ามีใครเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมเหล่านี้ แต่เพราะ พฤติกรรม และแนวทางทางการเมืองของเหล่าผู้นำสหรัฐและประเทศยุโรปบางประเทศ ทีให้ หลายๆชาติต่างชี้นิ้วไปที่พวกเขา ดังนั้นพวกเขาจะต้องทำให้พิสูจน์ตัวเองจากข้อกล่าวหาเหล่านี้ พวกเขาจะต้องพิสูจน์ว่า พวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมอันร้ายแรงเหล่านี้ และการพิสูจน์จะต้องไม่ใช่เพียงแต่คำพูด แต่จะต้องด้วยการกรระทำ พวกเขาจะต้องขัดขวางการละเมิดเหล่านี้ แต่แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ทำสิ่งเหล่านี้ เพราะผู้ต้องหาหมายเลขหนึ่ง คือ ไซออนสิต์ และรัฐบาลสหรัฐ หากนักการเมืองสหรัฐอ้างว่าพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ พวกเขาจะต้องบุคคลที่ก่ออาชญากรรม ซึ่งได้สร้างความเจ็บปวดต่อประชาชาติมุสลิม อย่างเหมาะสม”
แหล่งอ้างอิง
http://farsi.khamenei.ir/speech-content?id=21003
http://www.abnewstoday.com/hot-topic
http://www.hamrahgraphic.blogfa.com/cat-62.aspx
http://farsi.khamenei.ir/message-content?id=20963
http://farsi.khamenei.ir/newspart-index?tid=4025
http://www.entekhab.ir/fa/news/185326
http://www.asriran.com/fa/news/377128/75
http://porseman.org/q/show.aspx?id=119174