“ฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ” สตรีผู้เป็น “ประมุขหญิง” แห่งสากลจักรวาล

7240

ตำราเล่มแล้วเล่มเล่าได้กล่าวถึงบุคลิกภาพและสถานะทางจิตวิญญาณที่สูงส่งของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ(อ.) แม้ว่าปัญญาของมนุษย์จะถ่ายทอดความสูงส่งของเธอในรูปของหนังสือหรือสุนทรพจน์ให้มากกว่านี้อีกสักร้อยสักพันเท่า ก็ยังเทียบได้เพียงหยดน้ำในมหาสมุทรความดีงามของเธอ  และถึงแม้ว่าเราไม่อาจจะตีแผ่ทั้งหมดก็ถือว่ายังดีที่ได้นำเสนอละอองความดีงามของเธอ ณ ที่นี้ ดังที่นักกวีได้ประพันธ์ไว้ว่า   “แม้มิอาจดื่มน้ำทะเลให้เหือดแห้ง อย่างน้อยขอจิบให้ได้แรงก็ยังดี”

บุคลิกภาพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ.) ปัญญาที่เฉียบแหลมที่สุดในหมู่มนุษยชาติก็ยังงุนงงกับความสูงส่งทางบุคลิกภาพ และหากต้องการจะเข้าใจบุคลิกภาพของเธออย่างลึกซึ้ง จำเป็นต้องน้อมรับฟังฮะดีษจากท่านศาสดา(ซล)
เหลียวมองประวัติท่านหญิงฟาฏีมะฮ์ (อ) ประมุขหญิงแห่งสากลจักรวาล

ท่านหญิงฟาฏีมะฮ์ เป็นบุตรีของท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล) และท่านหญิง คอดีญะฮ์ (อ) บุตรีของคุวัยลิด (นางเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์แห่งตระกูลกุเรช นางเป็นหญิงคนแรกที่ยอมรับการเป็นศาสดาของท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล) และนางเป็นผู้ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านศาสดา (ซ.ล) มาตลอดการเผยแพร่ของท่าน)

ท่านหญิงฟาฏีมะห์ (ซ) เกิดในสมัยยุคมืดของชาวอาหรับ ที่มีแต่ความโสมมในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มชนในยุคนั้น กับการปฏิบัติต่อสตรีและเด็กหญิง ยุคที่ไร้ซึ่งจริยธรรมในการดำเนินชีวิต และการฝังบุตรสาวของตนทั้งเป็น การบีบบังคับสตรีให้ใช้ชีวิตแต่งงาน หรือการลิดรอนสิทธิของสตรี ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเลือกที่จะใช้ชีวิต หรือการได้รับสิ่งที่นางสมควรจะได้ เช่น มรดกของผู้เป็นบิดา หรือสามี รายได้ที่นางได้หามาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของพวกนางเอง สิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้น ในสมัยของอาหรับยุคมืด  การประกาศอิสลาม และการปฏิบัติของท่านศาสดาที่มีต่อบรรดาภรรยา และบุตรีของท่านเป็นแบบอย่างที่สำคัญ และเป็นการทำลายวัฒนธรรมดั้งเดิมของกลุ่มชนอาหรับในยุคนั้นด้วย ดังนั้น การที่อิสลามได้ประกาศความเป็นอิสระของสตรีในการเลือก หรืออิสลามได้ให้ความเท่าเทียมความเป็นมนุษย์ระหว่างหญิงและชาย หรือแม้แต่การปฏิบัติคุณงามความดีทั้งหลาย ถือว่าสตรีนั้นมีส่วนร่วมและสามารถได้รับความเมตตาจากอัลลอฮ์(ซ.บ) เท่าเทียมกับเหล่าบรรดาบุรุษ ท่าน นบีมุฮัมมัด (ซ.ล) ได้ปฏิบัติต่อบุตรีของท่านตรงข้ามกับที่ชนอาหรับยุคนั้นปฏิบัติต่อบุตรีของพวกเขา เช่น ท่านให้ความรัก ความเอ็นดู ให้เกียรติต่อบุตรสาวของท่าน ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากต่อชนชาติอาหรับ

การได้รับเกียรติ ในรายงานกล่าวไว้ว่า “ทุกครั้งที่ท่านหญิง ฟาฏิมะห์ (ซ.)เข้ามาหาท่านรอซูล (ซ.ล) ท่านจะลุกขึ้น และให้นั่งตรงที่ของท่าน” ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า สตรีก็สมควรที่จะได้รับเกียรติเช่นกัน สตรีในยุคนั้น ถูกปฏิบัติเหมือนสาวใช้ และโดนดูถูกในความเป็นสตรีของพวกนาง

สิทธิในการศึกษา การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ ในอิสลามมิได้แบ่งแยกความสำคัญดังกล่าวนี้ให้สิทธิเฉพาะบุรุษเท่านั้น อิสลามได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการศึกษากับสตรีเช่นกัน ท่านหญิงฟาฏิมะห์ (ซ) ได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้ในวิชาแขนงต่างๆจากท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล) สามารถกล่าวได้ว่า ในยุคของท่านหญิงนั้น ท่านคือครูของบรรดาสตรีทั้งหลาย และท่านยังได้สร้างลูกศิษย์ไว้อย่างมากมาย ซึ่งเป็นสตรีทั้งสิ้น

สิทธิการมีส่วนร่วมในสังคม ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล) ได้เปิดโอกาสให้กับเหล่าบรรดาสตรีเข้าร่วมการนมาซในมัสยิด หรือฟังการบรรยายของท่าน แต่มีเงื่อนไขว่า พวกนางต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาสนาอย่างเคร่งครัด คือ แต่งกายให้มิดชิด ตามแบบฉบับที่ศาสนาได้บัญญัติไว้ หรือการที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ) ได้นำกลุ่มสตรีมาช่วยเหลือผู้บาดเจ็บในยามศึกสงคราม หรือแม้แต่การเปิดโอกาสให้กับบรรดาสตรีผู้ไม่รู้ ได้ถามปัญหาที่ตนสงสัย

 

ฐานะภาพและความประเสริฐของท่านหญิง

ฐานะภาพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ส.)สูงส่งถึงขั้นที่ว่าความพึงพอใจและความกริ้วโกรธของเธอ ถือเป็นมาตรวัดความพึงพอใจและความพิโรธของท่านนบี(ซ.ล.)และพระองค์อัลลอฮ์ ดังที่มีฮะดีษระบุว่า “ฟาฏิมะฮ์คือส่วนหนึ่งของฉัน ผู้ใดที่ทำให้เธอสุขใจ ถือว่าทำให้ฉันมีความสุขด้วย และผู้ที่ทำให้ฉันมีความสุข ย่อมทำให้พระองค์ทรงพึงพอพระทัย..
ฟาฏิมะฮ์คือมนุษย์ที่ประเสริฐสุดในสายตาของฉัน”

อีกฮะดีษหนึ่งท่านนบี(ซ.ล.)ระบุว่า “มัรยัมคือประมุขของสตรีในยุคของนาง ทว่าฟาฏิมะฮ์บุตรีของฉัน เป็นประมุขแห่งอิสตรีทั่วโลกนับแต่บรรพกาลจนถึงวันสิ้นโลก”

อีกฮะดีษกล่าวว่า “มีมะลาอิกะฮ์ตนหนึ่งได้แจ้งแก่ฉันว่า ฟาฏิมะฮ์(ส.)คือประมุขแห่งสตรีชาวสวรรค์ และเลอเลิศที่สุดในหมู่อิสตรี”  จะเห็นได้ว่าคุณงามความดีของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์สูงส่งยิ่งกว่าท่านหญิงมัรยัมและสตรีที่ได้รับการยกย่องอย่างเช่นท่านหญิงอาสิยะฮ์ เพราะเกียรติสูงสุดของท่านหญิงอาสิยะฮ์คือการได้รับโอกาสในการช่วยทำคลอดท่านหญิงฟาฏิมะฮ์

 

แบบอย่างของท่านท่านหญิงฟาตีมะห์(อ) 
 ด้านการบริจาคและความเสียสละ

ดังจะเห็นได้จากเรื่องราวการบริจาคชุดเจ้าสาวของตนแก่หญิงชราผู้ยากไร้ในคืนวิวาห์ หรือเมื่อครั้งที่ได้บริจาคอาหารแก่ผู้ยากไร้ เด็กกำพร้า และเชลยศึก ทั้งๆที่ครอบครัวของเธอไม่มีอาหารเพื่อละศีลอดเป็นเวลาสามคืนติดต่อกัน อันได้รับการตีแผ่ไว้ในซูเราะฮ์ อัดดะฮ์ริ (อัลอินซาน)

 

การทำอิบาดะฮ์

เธอทำอิบาดะฮ์ในทุกย่างก้าว เพราะไม่ว่าพฤติกรรมหรือวจีกรรมของเธอ ความเพียรพยายามของเธอ ลมหายใจเข้าออกของเธอทั้งวันและคืน ล้วนแล้วแต่เป็นอิบาดะฮ์ทั้งสิ้น    หลังจากที่เธอนำลูกๆเข้านอนและทำงานบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอจะทำนมาซตะฮัจญุดจนเท้าทั้งสองข้างบวมเป่ง  อิบาดะฮ์ของเธอเปี่ยมสว่างไสวถึงขั้นที่มวลมะลาอิกะฮ์แปลกใจที่เห็นรัศมีส่องสว่างจากบ้านของเธอ กระทั่งมลาอิกะฮ์ระดับสูงกว่าเจ็ดหมื่นตนพร้อมใจกันกล่าวสลามและอวยพรแด่เธอ

 

 ความเหนียมอายแห่งกุลสตรี

นับเป็นอีกมิติหนึ่งของบุคลิกภาพอันงดงามของเธอ ซึ่งควรได้รับการเชิดชูเป็นแบบอย่างสำหรับสตรีในสังคม วันหนึ่งท่านนบี(ซ.ล.)ได้เอ่ยถามบรรดาสาวกว่า “วิถีชีวิตแบบใดเหมาะสมที่สุดสำหรับสตรี?” ท่านซัลมาน(ซึ่งเป็นชายชรา)ไม่สามารถตอบได้ จึงมาเยี่ยมเยียนและสอบถามจากท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ เธอตอบว่า “เหมาะสมที่สุดสำหรับสตรีคือ ไม่จ้องมองบุรุษเพศ และไม่ปล่อยให้บุรุษเพศจ้องมอง”

เหล่านี้คือเศษเสี้ยวหนึ่งจากวิถีชีวิตและความสูงส่งของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ)    ซึ่งบรรดามุสลิมโดยเฉพาะบรรดาสตรีทั้งหลาย ควรศึกษาค้นคว้าชีวประวัติของท่านหญิง เพื่อจะได้นำคุณลักษณะที่ดีงามเหล่านี้มาถือปฏิบัติ

แม้นว่า การดำรงชีวิตของท่านหญิงนั้นจะสั้นมาก ซึ่งบางรายงานบันทึกว่า ท่านหญิงมีอายุไม่เกินสิบแปดปี บางรายงานยี่สิบปี แต่ท่านหญิงแห่งสากลจักรวาลก็ได้สอนและทิ้งแบบฉบับที่สมบูรณ์แบบที่สุดให้กับมนุษย์ชาติเพื่อความผาสุกทั้งโลกนี้และโลกหน้า  ดังนั้นสตรีมุสลิมควรอย่างยิ่งที่จะนำมรดกอันล้ำค่าของท่านหญิงนำมาใช้ และมิควรตามแบบอย่างค่านิยมของพวกตะวันตกหรือตะวันออกก็ตาม

…เพราะเรามีแบบอย่างที่สมบูรณ์ที่ถูกแสดงโดยประมุขหญิงแห่งสากลจักรวาล