“เยเมน” คือเวที “สงครามเย็น” ครั้งใหม่ ระหว่างซาอุดิอาระเบียกับอิหร่าน

1585

euronews   – เยเมนในสภาวะแห่งความไม่แน่นอนและความไม่มั่นคงในบางครั้งบางครา และเป็นแหล่งแห่งการบรรจบของตะวันออกและตะวันตก  ซึ่งในวันนี้ กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤติทางการเมืองและความไม่สงบที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายทศวรรษที่ผ่านมา   ผู้เชี่ยวชาญบางคนวิเคราะห์ว่า  สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเยเมนในวันนี้  เป็นกระจกสะท้อน ถึง “ สงครามเย็น” ระหว่างอิหร่านกับซาอุดิอาระเบีย

สิ่งที่เป็นชนวนสู่สงครามภายในเยเมน คือการแข่งขันและช่วงชิงภาวะผู้นำของซาอุดิอาระเบียในฐานะผู้นำโลกซุนนี  กับสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ที่เป็นผู้นำโลกชีอะห์ ในระดับภูมิภาค ซึ่งเยเมนเองก็ไม่อาจถูกยกเว้นจากข้อสมมุติฐานดังกล่าวได้

ด้วยเหตุนี้  ซาอุดิอาระเบีย และชาติพันธมิตรในอ่าวเปอร์เซีย ถือว่า การที่กลุ่มเฮาซีย์ สามารถยึดครองกรุงซานาได้นั้น ถือเป็นการก่อรัฐประหารเหนือหุ่นเชิดของตนเอง

วิกฤติในเยเมน มีรากฐานและรากเหง้า จาก การเมือง ชนเผ่า และชาตินิยมที่มีอยู่ในประเทศ

เป็นวิกฤติซึ่งมีศักยภาพพอในการฉีดความตึงเครียดในเชิงความสัมพันธ์ทวีภาคีของผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ในตะวันออกกลาง คือ ซาอุดิอาระเบียและอิหร่านให้ทวีความรุนแรงมากขึ้น     และมีแนวโน้มว่า วิกฤติในเยเมนจะมีการต่อสู้ที่เข้มข้นของทั้งสองประเทศในระดับภูมิภาคมากขึ้นกว่านี้

กลุ่มฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้องในภาวะวิกฤตในเยเมน

กลุ่มเฮาซีย์  หรือ กลุ่มอันศอรุลเลาะห์

กลุ่มเฮาซีย์ เริ่มเคลื่อนไหวในรูปลักษณะของการขับเคลื่อนในระดับเยาวชน ภายใต้ชื่อ “เยาวชนผู้ศรัทธา”  เมื่อช่วงปี 1992 โดยมีเป้าหมายและวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องสิทธิของชีอะห์ ซัยดียะห์ ซึ่งเป็นชนกลุ่มหนึ่งในเยเมน มีจำนวน หนึ่งส่วนห้าของประชากรเยเมนทั้งหมด

กลุ่มดังกล่าว เริ่มมีการปะทะและต่อสู้กับรัฐบาลกลางเยเมน ตั้งแต่ปี 2003 -2009     ซึ่งล่าสุด กลุ่มเฮาซีย์ก็สามารถยึดครองกรุงซานา เมืองหลวงของเยเมนได้สำเร็จ อีกทั้งยังเป็นพันธมิตรที่ดีกับอิหร่านอีกด้วย

กลุ่มเฮาซีย์ได้รับการฝึกฝนและอบรมทางทหารจากอิหร่าน อีกทั้งอิหร่านยังให้การสนับสนุนทางการเงินและอาวุธอีกด้วย  แต่ทางการเฮาซีย์ ออกมาปฏิเสธว่า พวกเขาไม่เคยได้รับความช่วยเหลือเช่นนี้จากอิหร่าน   พวกเขาถือว่า การยึดครองกรุงซานาและเมืองต่างๆเกือบทั้งประเทศเป็นผลลัพธ์ของการปฏิวัติของพี่น้องประชาชนชาวเยเมนทั้งหมด

อับดุล รอบีห์ มันศูร ฮาดี ประธานาธิบดีเยเมน

เขาได้ขึ้นครองอำนาจเป็นผู้นำของเยเมนเมื่อปี 2012   เพื่อบริหารจัดการและนำเยเมนสู่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง    ฮาดีย์ ถูกกลุ่มเฮาซีย์ ปิดล้อม ขณะอยู่ในบ้านพักของตนเอง   ในเดือนมกราคม ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง และได้ลบหนีกบดานยังเมืองเอเดน  จากนั้นก็ได้ปฏิเสธการลาออกของตนเอง   พร้อมกับเรียกร้องให้กองทัพเยเมนให้การจงรักภัคดีและเข้าร่วมสมทบกับเขาในการต่อสู้กับกลุ่มเฮาซีย์

อาลี อับดุลลอฮ์ ซาเลห์

ซาเลห์  ขึ้นครองอำนาจในเยเมน ตั้งแต่ปี  1978    (เยเมนเหนือ) และในปี   1990    เป็นผู้นำเยเมน หลังจากที่เยมนใต้เยเมนเหนือสามารถผนึกรวมเป็นชาติเดียว   และในปี 2011     ได้ลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากเกิดเหตุการณ์อาหรับสปริงและการลุกขึ้นต่อสู้ของชาวเยเมน  ทว่า ยังคงเป็นหุ่นเชิดของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเยเมนต่อไป จนถึงปี 2012    โดยเขาถูกชาติตะวันตกกล่าวหาว่า พยายามใช้อิทธิพลของตนเองและมีความพยายามที่จะให้ตนเองขึ้นมีอำนาจอีกครั้งหนึ่ง

เครือข่ายของอัลกออิดะห์ ในคาบสมุทรอาหรับ

เครือข่ายดังกล่าวมีการเคลื่อนไหวที่ยาวนานและมีความอันตรายเป็นอย่างมาก  ถือเป็นเครือข่ายหนึ่งที่เป็นกลุ่มอิสลามนิยมหัวรุนแรงสุดโต่ง  มีการวางแผนและโจมตีเครื่องบินต่างๆหลายครั้ง และโจมตีกองกำลังรักษาความปลอดภัยของเยมนอีกด้วย    กลุ่มดังกล่าวยังเป็นผู้ลงมือก่อเหตุโจมตีสำนักงานวารสารชาลีแฮ็บโด ในกรุงปารีสอีกด้วย    โดยที่อัลกออิดะห์ คาดหวังว่า  หากกองทัพเยเมนล่มสลายและพ่ายแพ้  พวกเขาจะสามารถเข้าไปมีบทบาทอิทธิพลและควบคุมเมืองต่างๆในเยเมนทั้งหมด

ชีอะห์ ซัยดี (ซัยดียะห์)

ชีอะห์ ซัยดี เป็นสาขาหนึ่งของมัศฮับชีอะห์   อาศัยในที่ราบสูงทางเหนือของเยเมน  มีกองกำลังอาสมัคร เฮาซีย์  ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ถือเป็นตัวแทนทางการเมืองที่มีการเคลื่อนไหวมากที่สุดของชนกลุ่มน้อยทางศาสนา

ส่วนชาวซุนนี่จะอาศัยในภาคใต้และภาคตะวันออกของเยมนเป็นส่วนใหญ่  โดยจะมีความแตกต่างกันกับพี่น้องในอิรักและซีเรีย  ซึ่งชาวเยเมนทั้งพี่น้องซุนนี่และชีอะห์ จะร่วมกันนมาซร่วมกันในมัสยิด และจะร่วมใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขและฉันท์ที่พี่น้องอย่างยาวนาน

วิกฤติเยเมนและน้ำมัน

เมื่อสงครามกลางเมืองในเยเมนเริ่มขึ้น  การส่งออกน้ำมันอย่างปลอดภัยสู่ช่องแคบมันเดบ ก็เริ่มถูกคุกคาม    ช่องแคบมันเดบ เป็นเส้นทางเดินเรือและน่านน้ำที่สำคัญในการส่งออกน้ำมันไปยังยุโรป  เอเชีย และอเมริกา   ในปี 2013     สามารถส่งออกน้ำมัน   3.4   ล้าน บาร์เรลต่อวัน ผ่านน่านน้ำและช่องแคบยุทธ์ศาสตร์นี้

วิกฤติด้านมนุษยธรรม

วิกฤติและความตึงเครียดในเยมน  ในช่วงที่ไม่มีรัฐบาลกลางหรือศูนย์กลางการบริหารจัดการที่อ่อนแอ  ได้สร้างความล้าหลังให้กับเยเมน และจะยิ่งเพิ่มความทุกข์ยาก ทุกข์ทรมานและความเดือดร้อนให้กับประชาชนมากยิ่งขึ้น
และในขณะเดียวกัน หากทางซาอุดิอาระเบีย จะยื่นข้อเสนอช่วยเหลือเยเมน ก็ย่อมมีเงื่อนไขว่า กลุ่มเฮาซีย์ ต้องร่นถอยและคืนอำนาจให้กับประธานาธิบดีซาเลห์  ซึ่งมันไม่เป็นสิ่งที่เป็นไม่ได้

ตามสถิติของสหประชาชาติ  เหตุการณ์ความไม่สงบ เหตุการณ์ปะทะอย่างต่อเนื่องและปะปรายในเยเมนนั้น  เฉพาะในปีที่ผ่านมา  ชาวเยเมนต้องหนีอพยพแล้ว จำนวน 100,000   กว่าคน   และยิ่งสถานการณ์ในวันนี้ หลังจากที่ถูกซาอุดิอาระเบียโจมตีทางการอากาศอย่างหนัก  วิกฤติด้านมนุษย์ธรรมของชาวเยเมน ย่อมเลวร้ายลงทุกขณะ ที่กำลังรอความช่วยเหลือจากนานาชาติ