“อเมริกา” ศูนย์กลางแห่ง “การจารกรรม” ข้อมูลโลก!

3020

 

นับ ตั้งแต่นายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตเจ้าหน้าที่ซีไอเอและสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ  (National Security Agency หรือ NSA) ได้ทยอยเปิดเผยข้อมูลลับของ NSA ที่ได้สอดแนมประชาชนบุคคลสำคัญ ผู้นำและรัฐบาลประเทศต่างๆ ทั่วโลก การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวกลายเป็นประเด็นร้อนตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา

มีการอ้างอิงข้อมูลจาก เดนิส  แบลร์ อดีตผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ อเมริกา  ที่ได้บันทึกไว้ว่า “ภายหลังจากเหตุการณ์ 911 เราได้ตัดสินสินใจในการเปิดศึกขั้นสูงสุด และได้วางยุทธศาสตร์ทางด้านการเมืองในรูปแบบใหม่ ซึ่งเราใช้มันในประเทศเช่นเดียวกัน ถึงแม้การโจมตีของพวกเขาไม่มีคุณค่าใดๆ แต่ในภายหลังมันจะแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของมันด้วยตัวของมันเอง “ เขาได้อธิบายว่า การโจมตี ในวันที่ 11 กันยายน เป็นฝีมือ ของผู้ก่อการร้ายที่รัฐบาลเคยสนับสนุน เพราะ อเมริกา ต้องการศัตรูตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และเมื่อไม่มีศัตรู พวกเขาก็จะสร้างมันขึ้นมาเอง”

ทว่า ข้ออ้างหรือข้อแก้ตัวใดๆ ก็ไม่อาจหยุดความคลางแคลงสงสัยและความไม่พอใจ เพราะนอกจากโครงการ “พริซึ่ม” ซึ่งนับเป็นการสอดแนมทางอิเลกทรอนิกครั้งใหญ่ของสหรัฐ ที่ถูกเปิดโปงโดยนายเอดเวิร์ด สโนว์เดน แล้ว ขณะนี้โลกของการสอดแนมและบทบาทของหน่วยงานความมั่นคงทั้งหลายของสหรัฐก็ กำลังถูกขุดคุ้ยตามมา

1.รู้จักกับสำนักงานความมั่งคงแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา และภารกิจ

สำนักงาน ความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ (National Security Agency) หรือ เอ็นเอสเอ (NSA) เป็นหนึ่งใน  16 หน่วยงาน ที่ทำงานด้านความมั่นคง และการหาข้อมูลข่าวสารให้กับสหรัฐอเมริกา มีหน้าที่รับผิดชอบการรวบรวมและวิเคราะห์การติดต่อกับต่างประเทศ และรับผิดชอบดูแลความมั่นคงของการติดต่อระหว่างหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐ เอ็นเอสเอเป็นหน่วยงานหนึ่งสังกัดกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ในเว็บไซต์หลักของ NSA ได้กล่าวถึงเป้าหมายและภารกิจขององค์กร ในลักษณะดังต่อไปนี้

  • รวบรวม ประมวลผล วิเคราะห์  และแปรรูปข้อมูลต่างๆ ทางด้านความมั่นคง ภายในประเทศ และสืบเสาะหาข้อมูล ที่เป็นภัยต่อรัฐบาล จากประเทศต่างๆ เพื่อความมั่นคงแห่งชาติ
  • เตรียมความพร้อมในการวางมาตรการรักษาความปลอดภัย และระบบการสื่อสาร
  • จัดการระบบรักษาความมั่นคงในชาติ

หน่วยงานนี้ ถูกจัดตั้งขึ้นในวันที่ 4 พฤศจิกายน ปี 1952 สำนักงาน ตั้งอยู่ที่ เมือง ฟอร์ด  แม่รี่แลนด์

001อาคารสำนักงานใหญ่ของ สำนักงาน NSA  อเมริกา ในปี 1960

002                                               ภาพอาคารสำนักงานใหญ่ NSA ในยุคปัจจุบัน 
003ภาพอาคาร NSA ในรัฐแมรี่แลนด์

 

2. ย้อนอดีต องค์กร์สายลับ หน่วยงานด้านความมั่นคงของสหรัฐ

ถึง แม้ว่า โครงการใหม่ที่ใช้ในการสอดแนมของสหรัฐ อย่าง “PRISM” จะทำให้ทั่วโลกต้องวิตกกับมัน และเป็นเรื่องใหม่ของโลกแล้ว แต่ในความเป็นจริง เมื่อย้อนรอยกลับไปดูประวัติศาสตร์การก่อตั้งองค์กรสายลับเหล่านี้  ก็จะพบเห็นถึงอำนาจที่กว้างขวางและอิทธิพลของ “วอชิงตัน” ที่มีต่อทั่วทุกมุมโลก ภายหลังสงครามโลกครั้งที่2 อันได้มาจากการสอดแนมและการขโมยความลับต่างๆ ของแต่ละประเทศ

แน่นอน ว่า การสอดแนมของสหรัฐนั้นเป็นไปอย่างลึกลับซับซ้อนและมีโครงการต่างๆ มากมาย  แต่ที่จะกล่าวถึงก็คือ 2 โครงการสอดแนมในอดีต  โดยโครงการแรก คือ โครงการสอดแนมที่มีชื่อว่า  “ECHELON” ซึ่งนับได้ว่าเป็นโครงการแม่ที่ให้กำเนิดโครงการสอดแนมอิเล็กโทรนิก  “PRISM” ขึ้นมาภายหลัง และอีกโครงการหนึ่งคือ “Trail Blazer”

 

  • โครงการ “เอชเชลอน” (ECHELON)

สำนักงานความมั่นคงแห่ง ชาติ ไม่เคยเปิดเผยโครงการ “เอชเชลอน” (Echelon) อย่างเป็นทางการให้โลกรับรู้  แต่ความลับเหล่านี้ก็มักจะถูกเปิดโปงจากบรรดาผู้สื่อข่าวทั่วโลกอยู่เสมอ  เช่น นิคกี้ เฮเกอร์ (Nicky Hager)

ซึ่งผลจากการเคลื่อนไหวทางสังคมของนิกกี้ เป็นเหตุให้ทางรัฐสภายุโรป ต้องทำการวิเคราะห์เรื่องราวนี้ อย่างจริงจัง

004

สิ่งที่เรารู้ในวันนี้ ก็คือ Echelon เปรียบดั่งโครงการแม่แบบที่ให้กำเนิด Prism ขึ้นมา

โดยสมาคมนักวิชาการอเมริกา ได้อธิบายโครงการดังกล่าวว่า

“ โครงการนี้จะทำการเชื่อมต่อกับเครือข่ายทั่วโลกเพื่อค้นหาข้อมูลจาก คอมพิวเตอร์  เป็นการหาข้อมูลนับล้านชิ้นโดยอัตโนมัติ ที่ได้จากการดักฟัง เพื่อให้ได้ คำหลักๆ หรือจากการส่งแฟกซ์ หรือ อีเมลแอดเดรสต่างๆ ที่ถูกโปรแกรมไว้ก่อนหน้านี้ ทุกประโยค ทุกคำพูด จะถูกค้นหา ผ่านทางเครือข่ายต่างๆ โดยอัตโนมัติ“

ระบบ ปฏิบัติการจารกรรมข้อมูลของ “เอชเชลอน” ได้เชื่อมต่อกับดาวเทียม มากกว่า 120 ดวง ซึ่งทำการสอดส่อง และเฝ้าระวัง ด้วยการสำรวจตามวงโคจรโลก นอกจากนี้ ดาวเทียมต่างๆ เหล่านี้  ยังมีการติดตั้งอุปกรณ์ ในพื้นที่ต่างๆ ของโลกซึ่งมีทัศนวิสัยคลุมเครือต่อดาวเทียม เพื่อคลายจุดที่ดาวเทียมไม่สามารถมองเห็นได้

 

005006

 

ส่วนโครงสร้างทรงกลม ที่ทำจากไฟเบอร์กลาสนั้น กล่าวกันว่า คือเสาอากาศปิด ถูกติดตั้งใน ฐานทัพอากาศของอังกฤษ และเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับ โปรเจค เอชเชลอน

เสา อากาศ และดาวเทียมเหล่านี้ ในแต่ละวันจะทำการรวบรวมข้อมูลข่าวสารที่ดักฟักได้จาก โทรศัพท์มือถือ แฟกซ์ อีเมล์  จำนวนมาก ราวๆ สามพันล้านข้อมูล และจะทำการบันทึก และจดจำข้อมูลเหล่านี้  และถ่ายโอนข้อมูลเหล่านี้ไปยัง คอมพิวเตอร์หลัก ที่มีอยู่ใน 5 ประเทศ นั้นคือ อเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลน และแคนาดา

007
กล่าว กันว่า เอชเชลอน เริ่มเป็นรูปร่าง ขึ้นในช่วงระหว่างทศวรรษ 1970 ซึ่งเป็นไปได้ว่า โครงการเหล่านี้ อาจจะเริ่มต้นขึ้นก่อน หรือหลังจาก ช่วงทศวรรษนี้  เพราะช่วงเวลาที่โครงการดังกล่าวเริ่มต้นขึ้น ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังคงถูกปิดเป็นความลับ  

สิ่งที่ชัดเจนใน ตอนนี้ คือ เมื่อมีการลงมติร่างกฎหมายในการรักษาสถานะความมั่นคงของชาติ ในปี 2001 หน่วยงานด้านความมั่นคงสหรัฐ เป็นกลุ่มที่วุ่นวายที่สุดในการคัดกรองความลับที่จะต้องเปิดเผย  และข้อมูลต่างๆ ที่ได้เก็บไว้ มันเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่เทคโนโลยีเหล่านี้ จะถูกผลิตขึ้นมาหลังจาก 11 กันยา เพียงชั่วข้ามคืน

  • โครงการ เทรลเบลเซอร์  Trail Blazer

ในปี 2006 โปรเจกต์ลับอีกชิ้นหนึ่ง ของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ ก็ได้ถูกเปิดเผยขึ้นมา  โดยนาย โทมัส แอนดรู เดรก (Thomas Andrews Drake) หนึ่งในเจ้าหน้าที่สำนักงานความมั่นคงของสหรัฐ คือ ผู้เปิดโปง โปรเจค ดังกล่าวนี้

008

จุดประสงค์ของโปร เจกต์ คือ การเพิ่มความสามารถในการเจาะ ล้วงข้อมูล รายวันที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต โปรเจกต์ดังกล่าว ยังถูกสร้างเพื่อสอดส่องยังอาคารต่างๆ และยังทำการเจาะข้อมูลจากโทรศัพท์มือถือ และอีเมลต่างๆอีกด้วย

เช่น เดียวกัน จากการเปิดโปงข้อมูล โดยสำนักข่าว ในหนังสือพิมพ์ Francisco chronicle  ทางสำนักข่าวรายงานว่า โปรเจกต์ดังกล่าวจะทำการแยกแยะ และวิเคราะห์ ข้อมูล ที่เอเจนซี่เหล่านี้ได้รวบรวมไว้ ประมาณ ๒ ล้านส่วน ในทุกๆ ชั่วโมง เพื่อทำการกรั่นกรองให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่สำคัญที่สุด

ซึ่ง ภายหลังจากการเปิดโปง ของนายโทมัส แอนดรู  โปรเจกต์ต่างๆ ในการเจาะข้อมูล และสอดแนมของ หน่วยงานเหล่านี้ ก็ยังคงดำเนินการต่อไป  เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และพวกเขายังคงรักษาความลับไว้ได้

“Prism” เป็นหนึ่งในโปรเจกต์ ที่ทุกวันนี้ กลายเป็นที่วิพากษ์ วิจารณ์กันอย่างอื้อฉาว  และยังเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า เส้นทางการสอดแนมของสหรัฐ จะยังคงดำเนินต่อไป

ด้วย หลายๆ ปัจจัย เราสามารถหาข้อสรุปได้ว่า การสอดแนมของสหรัฐ ไม่เคยหยุดนิ่งมาตลอดระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา และหลังจากนี้ไม่ต้องหวังเลยว่า โครงการต่างๆเหล่านี้จะหยุดลงได้ แต่ละวันโครงการเหล่านี้มีความซับซ้อนมากขึ้น มีเพียงทางเดียวเท่านั้น ที่จะหยุดยั้งการจารกรรมข้อมูลเหล่านี้ได้ ก็คือวันที่ประเทศนี้ถูกทำให้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ นั่นเอง

009

3.ยุค ปัจจุบัน  การแฉข้อมูลลับ ของเอดเวิร์ด สโนว์เดน คือ แหล่งอ้างอิงในการวิเคราะห์ถึงเสถียรภาพของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา

เอ็ด เวิร์ด สโนว์เดน คือ อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ ที่ได้เผยแพร่ข้อมูลให้กับสื่อต่างๆ ซึ่งการเปิดโปงของเขาได้ชี้ให้เห็นว่า ตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้  หน่วยสืบราชการลับสหรัฐได้ดักฟังโทรศัพท์มือถือ ขโมยข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต  และแฮกอีเมล์ต่างๆ ของประชาชน ทั้งจาก ประชาชนชาวอเมริกา และชาวต่างชาติ ภายใต้ โครงการ PRISM  โดยสำนักงงานความมั่นคงแห่งชาติ   ซึ่งนาย เอดเวิร์ด ได้นำหลักฐานต่างๆ พร้อมเปิดเผยข้อมูลเป็นจำนวนมหาศาล ข้อมูลเหล่านี้ ได้ชี้ให้เห็นว่า อเมริกา ได้ล้วงข้อมูล จาก สำนักงานต่างๆของสหภาพยุโรป ประชาชนชาวยุโรป สมาชิกต่างๆ และบุคคลสำคัญในแถบ ลาตินอเมริกา   โดยการจารกรรมข้อมูลของหน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐอเมริกา สามารถวิเคราะห์ เจาะลึกมิติต่างๆ ดังนี้

010

  • การสอดแนมพลเรือน ของสถาบันล้วงข้อมูลแห่งชาติ

จาก หลักฐานที่ถูกเปิดโปง ชี้ว่า หน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติ ได้ทำการควบคุม พนักงาน ไมโครซอฟต์ ยาฮู กูเกิล เฟสบุ๊ก พอลทอก เอโอแอล สไกป์ ยูทูป และแอปเปิ้ล ตลอด 24 ชั่วโมง   และยังได้บันทึกข้อมูล และติดตามบริษัทเหล่านี้ จากเซิร์ฟเวอร์หลักของเว็บไซต์ทั่วโลกอยู่ตลอดเวลา

เฉพาะแค่ เมื่อวันที่ 5 เมษายน ปีที่แล้ว มีผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ต จำนวน 117,675 คน ทั่วโลก ที่ถูกวางเป้าหมายในการสอดแนม โดยสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ ตัวเลขของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตที่ถูกหมายหัวไว้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดเท่าไหร่นัก  และยังไม่รู้อย่างแน่นอนว่ามีประชากรสหรัฐถูกตั้งเป้าในการสอดแนมจำนวนมาก น้อยแค่ไหน ทั้งยังไม่ทราบถึงจำนวนข้อมูลที่ถูกรวบรวมในโครงการสอดแนมของหน่วยข่าวกรอง สหรัฐ เช่น วิดิโอ SMS  คลิ๊ปต่างๆ และข้อมูลดิจิตอลอื่นๆ จากเทคโนโลยี สารสนเทศ อย่างแน่ชัด

011
“Big data” และ “cloud”  คือสองสิ่งที่ในแต่ละวันจะทำการรวบรวมข้อมูลต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
โดย Big data คือโปรแกรมใหญ่ที่จะทำการควบคุม ไปรษณีย์อิเล็กโทรนิก  การสนทนาทางโทรศัพท์  วิดีโอ ต่างๆ
ส่วน cloud จะวางระบบในการประมวลผลข้อมูลต่างๆ ซึ่งได้รับจากคอมพิวเตอร์ทางไกล ซึ่งเชื่อมต่อจากเครือข่ายหนึ่งสู่อีกเครือข่ายหนึ่ง

การ รวบรวม data ต่างๆเหล่านี้  เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “Metadata “ ซึ่งเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน  ได้ให้สัมภาษณ์กับ The Guardian ว่า “ หน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา  ได้วางโครงสร้างพื้นฐาน  ให้ระบบ สามารถกักเก็บข้อมูล และการสื่อสารทุกรูปแบบของมนุษย์ โดยอัตโนมัติ และจากการใช้ระบบดังกล่าวนี้ เราสามารถที่จะดูอีเมล ของใครก็ได้บนโลกนี้ หรือสามารถที่จะดักฟัก การสนทนาทางโทรศัพท์  ได้ทุกเครื่อง และยังสามารถเจาะรหัสผ่านต่างๆ บัญชีต่างๆ ของพนักงานทุกๆ คน “

012

เหล่า นี้คือสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงการเปิดโปงข้อมูลต่างๆ   ในช่วงที่เอ็ดเวิร์ด ได้ให้สัมภาษณ์ กับ เว็บไซต์ Spiegel กล่าวกันว่า ประเด็นหลักที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยมากที่สุด คือ cloud

นี่ คือสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า เมต้าดาต้า มีขีดจำกัดความสามารถแค่ไหน หากเราอยู่ในคอนเสิร์ต หรือสถานที่สาธารณะ พวกเขาสามารถนำเอาข้อมูลต่างๆ ของเรา ไม่ว่าจะเป็นรูป เสียง หรือแม้แต่คำพูด มาบันทึกไว้ และส่งต่อ ไปยังหน่วยงานด้านความมั่นคงอย่างละเอียดยิบ  ในแต่ละช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเรา

นอกจาก นี้ ทางนักวิจัย สถาบันเทคโนโลยี ยังได้นำเสนอ โปรแกรม Immersion  สำหรับ ให้บริการผู้ใช้ อีเมล กูเกิ้ล  ซึ่งถ้าหากเราอนุมัติให้ โปรแกรมดังกล่าว เข้าถึงบัญชีผู้ใช้ของเราแล้ว ทุกๆการติดต่อสื่อสาร ของเราจะถูกนำมาวิเคราะห์ และประมวลผล

013

ผู้ ใช้อินเตอร์เน็ตมี จำนวนมากในโลกนี้  และมีอัตราที่จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ  โดยส่วนมาก จะใช้อินเตอร์เน็ต โดยไม่สงสัยหรือกังวลใจเลยว่า โปรแกรมต่างๆ ที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ในแต่ละวัน ได้ดึงข้อมูล จากมนุษย์ธรรมดาอย่างเราไปมากน้อยแค่ไหน  น้อยคนที่จะนึกถึงความปลอดภัยอันนี้  ให้ลองคิดกันดูว่า ใครเป็นคนส่งอีเมลแนะนำ ให้เรารู้จักกับ อีกคนหนึ่ง เราอาจจะได้รับข้อความแนะนำให้รู้จักเพื่อนใหม่ แต่ใครละที่รู้ว่า  นาย เอ กับ นาย บีย์ รู้จักกัน โดยไม่ได้ ตรวจสอบพวกเขาเหล่านี้ไว้ก่อน

015

  • อเมริกาปีนเกลียว สอดแนม มิตรของตัวเอง

หนึ่ง ในพันโปรแกรมล้วงข้อมูลนอกประเทศ ของสหรัฐอเมริกา ที่ สโนว์เดน ได้แฉออกมา คือการเปิดโปง ภารกิจของหน่วยความมั่นคงสหรัฐที่ได้ทำการสอดแนมสำนักงานหลายๆ แห่ง ในสหภาพยุโรป ประเด็นดังกล่าวเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจมากที่สุด เพราะประเทศต่างๆ เหล่านี้ คือพันธมิตรผู้ใกล้ชิดระดับต้นๆ ของสหรัฐประเทศเหล่านี้ ล้วนเป็นหนึ่งในสมาชิกสหภาพยุโรปทั้งสิ้น  แต่กลับกลายเป็นว่า หน่วยงานเหล่านี้ ถูกกำหนดและจัดอยู่ในประเทศที่จำเป็นต้อง สอดแนม ในระดับสูง

นอกจาก นี้ ประเทศเหล่านี้ยังเป็นป็นประเทศที่ทำงานด้านความมั่นคงร่วมกับอเมริกาอีก ด้วย เมื่อเรื่องแดงขึ้นมา  เยอรมันจึงได้ยกเลิกสัญญาในการปฏิบัติงานร่วมกัน ระหว่าง อังกฤษ และอเมริกา เมื่อปีที่แล้วนี้เอง

017
โอบามา กล่าวว่า “โครงการสอดแนมของหน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติ ต้องคงอยู่เหนือหัวเราเสมอ เพื่อ ที่ว่า บุคคลที่พยายาม จะนำอันตรายมาสู่เรา ไม่สามารถที่ หลบซ่อน ในมาตรการป้องกันของเราได้” สิ่งที่โอบามาไม่ได้เปิดเผย คือ การขยายขอบเขตของล้วงข้อมูลลับ  และการจารกรรมข้อมูลของประเทศที่เป็นพันธมิตรกับอเมริกา และค่าใช้จ่ายมหาศาลที่ไม่อาจคำนวณนับ

 

 

หน่วย งานความมั่นคงของสหรัฐ ไม่ได้ติดตั้งไมโครโฟนตามสำนักงาน ต่างๆ ของสหภาพยุโรป เพื่อสอดแนม เพียงอย่างเดียว  พวกเขายังสร้างอิทธิพลในวงการสื่อและรวบรวมบันทึกข้อมูลภายใน เหล่านั้น มาเก็บสะสมไว้เป็นของตัวเอง

หนังสือพิมพ์ รายสัปดาห์ Spiegel เยอรมัน ได้นำหลักฐาน และเอกสารลับ มาเปิดโปงในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน  นอกจากนี้ ยังมีโครงการสอดแนม สำนักงานต่างๆ ของตัวแทนสหภาพยุโรป ในสหประชาชาติ อีกด้วย

ตาม บันทึกในหลักฐาน  เจ้าหน้าที่หน่วยงานด้านความมั่นคงของอเมริกา ได้เขียนโครงการในการสอดแนมสหภาพยุโรปว่า”เป้าหมายที่ดีสำหรับการบุกโจมตี”

เจ้า หน้าที่เหล่านี้ ได้ขยายขอบเขตการทำงานของพวกเขาในการควบคุม และสอดแนม  ไปจนถึง บรัซเซลล์ ในหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าว ยังได้รายงานอีกว่า “ เป็นเวลากว่า 5 ปี ที่เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของสหภาพยุโรป ได้ตรวจพบระบบดักฟังเครือข่ายโทรศัพท์และอินเตอร์เนตในอาคาร Justus-Lipsius ซึ่งนับเป็นอาคารหลักของสภาสหภาพยุโรป โดยระบบการดักฟังและสอดแนมถูกติดตั้งในองกรณ์สนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต ) ในย่านชานเมืองบรัซเซล กล่าวกันว่า สหภาพยุโรปได้ยืนยัน การตรวจพบระบบการดักฟังโทรศัพท์ ที่มีอยู่ในสำนักงานต่างๆ ของหลายประเทศ ซึ่งเป็นสมาชิกในสหภาพ เช่น ฝรั่งเศส และเยอรมัน

018
เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงอเมริกา ได้ใช้วิธีการต่างๆในการสอดแนม สำนักงานต่างๆ ของตัวแทนสหภาพยุโรป ในสหประชาชาติ
ตาม บันทึกในหลักฐานชี้ว่า  เจ้าหน้าที่หน่วยงานด้านความมั่นคงของอเมริกา ได้เขียนโครงการในการสอดแนมสหภาพยุโรปว่า”เป้าหมายที่ดีสำหรับการบุกโจมตี”
หนึ่ง ในลักษณะพื้นฐาน ในความสัมพันธ์ ระหว่าง อเมริกา และสหภาพยุโรป คือ การมีความเชื่อใจและระวังหลังให้กันและกัน ขณะนี้ ดูเหมือนว่า สองยักษ์ใหญ่มหาอำนาจ จะหวาดระแวงกันเอง และทำตัวปีนเกลียว กันเองเสียแล้ว

การที่การสอดแนมของอเมริกาถูกเปิดเผย นี้ มันเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าอเมริกา ไม่เคยนับใครเป็นเพื่อนเลย แม้แต่สหภาพยุโรปเอง

  • ประเด็นพิเศษ หน่วยงานด้านความมั่นคงอเมริกา จู่โจมทางไซเบอร์ โครงการพลังงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน  

ตาม รายงานของนิตรสาร บิซิเนส วีค “ ชี้ว่า เป้าหมายในการใช้ มัลแวร์ (Malware) คือการเก็บข้อมูลจากอุตสาหกรรมต่างๆ ในอิหร่าน มัลแวร์ตัวนี้ ยังใช้ในการหลีกเลี่ยงการระบุตัวตน จาก ลายเซ็นดิจิตอล ของ Realtek

ใน วันที่  16 มกราคม ปี 2011 หนังสือพิมพ์ นิวยอร์กไทมส์ ได้อ้างอิงในบทความว่า “อิสราเอล ได้ทดลองส่ง  Stuxnet (มัลแวร์คอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่ง มีหน้าที่ ฝังตัวในระบบคอมพิวเตอร์ และทำการรวบรวมข้อมูลของผู้ใช้ และส่งไปยังเซิฟเวอร์พิเศษที่ได้กำหนดไว้) ใน ศูนย์พลังงานนิวเคลียร์ดีมูนา  โดยทดลองกับเครื่อง centrifuges  ซึ่ง มีความคล้ายคลึง กับ เครื่องเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียม ที่อิหร่านนำมาใช้ “

หนังสือพิมพ์ นิวยอร์กไทมส์ ยังได้รายงานถึง บทบาทของหน่วยงานความมั่นคงของอเมริกา ซึ่ง เป็นผู้บริหาร และบัญชาการกองทัพไซเบอร์ ของสหรัฐ ในเวลาเดียวกัน หน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐ และหน่วยลับของอิสราเอล ระดับผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆของคอมพิวเตอร์  ร่วมกันสร้าง มัลแวร์ที่มีความซับซ้อนไม่มีที่สิ้นสุด  ซึ่งการทำงานของมัลแวร์ ตัวนี้ คือโจมตีระบบภายใต้คอมพิวเตอร์
019

การร่วมมืออย่างผิดปกติ ระหว่างอิสราเอลและอเมริกา นั่นเพราะความจำเป็นในสองสิ่ง

หนึ่ง คือ หน่วยงานลับ 7200 อิสราเอล(หนึ่งในหน่วยงานของกองทัพอิสราเอล)  ที่มีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีสาขาพิเศษ ที่มีความสามารถ เท่าเทียมกับ หน่วยงานด้านความมั่นคงของสหรัฐ มีข้อมูลเกี่ยวกับการทดลองอยู่ในมือ ที่สามารถทำให้การโจมตีไซเบอร์ เป็นไปอย่างราบลื่น ส่วนอเมริกา ก็มีผลประโยชน์อื่นๆที่แฝงอยู่ด้วย  นั่นก็คือ การใช้ประโยชน์จากอิสราเอลในการโจมตีระบบพลังงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน

ด้วย เหตุนี้ อิสราเอล จึงมีความมั่นใจ ว่า จะได้เห็นผลในการโจมตี  ผู้มีอำนาจหลายคนต่างก็พูดกันว่า ทางเดียวที่จะสร้างความเชื่อถือให้กับอิสราเอลได้ คือ การให้พวกเขามีส่วนร่วมในการทำงานในทุกๆด้านอย่างสมบูรณ์แบบ

020
หน่วย งานความมั่นคงของอเมริกา และหน่วยลับอิสราเอล ร่วมมือกันสร้าง มัลแวร์ที่มีความซับซ้อนไม่มีที่สิ้นสุด  ซึ่งการทำงานมัลแวร์ ตัวนี้ คือโจมตีระบบภายใต้ของคอมพิวเตอร์

ใน โปรเจกต์ที่ สโนว์เดน ได้เข้าร่วมในการทำงานนั้น คือ PROJECT IRAN  เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของโปรเจกต์เหล่านี้  เป็นที่ชัดเจน แล้วว่า ผู้แฉความลับคนนี้ ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า อเมริกา เล่นอิหร่านข้างหลังอย่างไรบ้าง

4 ผลกระทบจากการจารกรรมข้อมูลของอเมริกา  : เผชิญหน้ากับสิทธิมนุษยชน และการตื่นตัวของแต่ละชาติ

การ จะจินตนาการถึงสภาพนี้ คงจะเป็นเรื่องยาก เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่กี่ยุคสมัย อเมริกา ได้กลายเป็นตัวอย่างทางเศรษกิจให้กับโลกมาแล้ว และตอนนี้ สภาพของประเทศนี้ เป็นเหมือนสลัมขนาดใหญ่ ที่ผิดรูป และบิดเบี้ยว มุมหนึ่งเป็นสถานที่พักอาศัยของคนร่ำรวยซึ่งเป็นสถานที่ๆ ประชากรชาวอเมริกา เพียง เปอร์เซนต์เดียวอยู่อาศัย เป็นบริบททางประวัติศาสตร์ ที่จะนำไปสู่การเข้าใจถึงความสำคัญ และความจำเป็น ในการควบคุมประชาชน อย่างเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ได้เป็นอย่างดี

022
อเมริกาจำกัด เสรีภาพ ภายในประเทศ  ด้วย คำว่า “การต่อสู้กับผู้ก่อการร้าย” ซึ่งประเด็นส่วนใหญ่มักจะพุ่งเป้าไปที่ มุสลิม
ผู้นำ กลุ่มเล็กๆ ในอเมริกา เริ่มตื่นกลัว จากกระแสความไม่พอใจ ความโกรธเคือง จากทั่วทุกมุมโลก ที่ดูจะเพิ่มขึ้นในแต่ละวัน  ผู้สร้างอำนาจที่เป็นใหญ่ ด้วยการก่ออาชญากรรม และกำจัดศัตรูที่ขวางทาง ร่ำรวยจากการโกงกิน ไม่เคยรู้จักคำว่าอิ่ม และสร้างศัตรูขึ้นมา เพื่อรักษาอำนาจของตัวเอง ส่วนใหญ่สังคมอเมริกาโดยรวม และหลายๆประเทศ มักจะประสบปัญหาความไม่มั่นคงของประเทศ เพราะการมีอยู่ของบุคคลหนักแผ่นดินเหล่านี้ สภาวะซึ่งทำให้ระบบในสังคม ได้รับผลกระสบที่เสียหาย  “ทุนนิยมไม่อาจแบกรับ ผู้นำเหล่านี้ได้อีกต่อไปแล้ว ด้วยเหตุผลนี้ พวกเขาจึงสร้างเรื่องราวขึ้นมาใหญ่โตในการสอดส่องสอดแนม จารกรรมข้อมูล และเฝ้าระวัง   ทั้งหมดนี้ก็เพื่อ รักษาการอำนาจในควบคุมระบบที่ไม่มั่นคงอันนี้เอาไว้ ไม่ให้หลุดไปจากมือ ของพวกขา ระบบซึ่งมองไม่เห็นชะตากรรมในอนาคต ไร้ฐานที่มั่นคง โอนอ่อนไปตามที่ทิศทางของผู้มั่งมี และใกล้ตายเต็มที

023

หนึ่ง ในหน้าที่สำคัญ ที่ ทุกๆรัฐบาล ทั่วโลกได้ปฏิบัติ คือการพิทักษ์รักษาความสงบสุขของประชาชนในประเทศของตน และการต่อสู้กับศัตรูต่างชาติที่คิดมาทำลายเสถียรภาพของประเทศ และขีดเส้น ในการต่อสู้กับกลุ่มศัตรู ผู้ก่อการร้าย นับเป็น มาตรการหลัก ของทุกกองทัพ ที่จะใช้นโยบายลักษณะนี้ แต่เมื่อเราวิเคราะห์ถึงการเปิดโปงของสโนว์เดน ในประเด็นการควบคุมระบบการสื่อสาร โดยรัฐบาลนั้น ทำให้เราเห็นว่า รัฐบาล กลับจงใจล้วงข้อมูลของประชาชนประเทศตัวเอง ทั้งยังดักฟังโทรศัพท์มือถือ แฮกอีเมล บันทึกการสนทนาในอินเตอร์เน็ต และเก็บรูปบุคคลนับพันล้านคนทั่วโลก

อเมริกา ใช้ข้ออ้าง ในการต่อสู้กับผู้การร้าย ในการจำกัดเสรีภาพของประชาชนในประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป้าหมายจะพุ่งเป้าไปที่ มุสลิม เสียส่วนมากมาก เจ้าหน้าที่สหรัฐ ได้นำเสนอข้ออ้างดังกล่าวในสหประชาชาติ ในการขยายขอบเขตปฏิบัติการ ในประเทศต่างๆ อาทิ เช่น ยุโรปตะวันออก

024

เจ้า หน้าที่หน่วยงานด้านความมั่นคงแห่งชาติ อเมริกา ได้อ้างว่า จำเป็นที่จะต้องใช้วิธีการบางอย่าง เพื่อจับกุมผู้ก่อการร้ายเหล่านี้  เพื่อป้องกันภัยต่างๆ  ผู้บัญชาการ เคต อเล็กซานเดอร์ ประธานของหน่วยงานนี้  ได้กล่าวแก่ สภาวุฒิสภาอเมริกา ว่า จากการที่สำนักงงานความมั่นคงแห่งชาติได้ติดตาม การสื่อสารของประชาชนด้วยกล้องวงจรปิด ได้เปิดเผย แผนการต่างๆของผู้ก่อการร้าย มากกว่า 50 ครั้ง แต่ปัญหาก็คือหลักฐาน ของ ผบ. คนนี้ ยังอยู่ในความคลุมเครือ และไร้น้ำหนัก  ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่เรามองเห็นอยู่ในขณะนี้ เต็มไปด้วยความสงสัย  คือการนำเสนอในสิ่งที่เต็มไปด้วยความน่าสงสัย

แน่นอน หากเรายอมรับ 50 แผนสมคบคิดของผู้การร้าย ตามที่หน่วยงานเหล่านี้ อ้างแล้ว มันจะต้องไม่ได้มีเพียงเท่านี้   เพราะพวกเขาสอดแนมประชาชนนับพันล้านคน แต่กลับได้บันทึกแผนที่จับได้ เพียง 50 ครั้ง เปรียบดั่งการขี่ช้างจับตั๊กแตน

ประเด็นนี้ยังได้ชี้ให้เห็นถึงสองสิ่ง

ประการ แรก ก็คือ ภัยอันตรายที่เกิดจากการก่อการร้าย ที่ประชาชนชาวอเมริกา กำลังเผชิญอยู่ เมื่อสังเกตถึงจำนวนสถิติที่ หน่วยงานด้านความมั่นคงทำสำเร็จ ดูเป็นสิ่งไร้ค่าไปเลย หรือควรจะพูดว่า มันไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำไป อย่างที่ สโนว์เดนได้ชี้แจงไปแล้ว  เป็นไปได้ว่าคนอเมริกา กำลังจมน้ำตายในอ่างอาบน้ำของตัวเอง มากกว่า ที่ผู้ก่อการร้ายถูกสังหารเสียอีก

ประการ ที่สอง คือ ข้ออ้างอย่างเป็นทางการสำหรับ การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ที่หน่วยงานความมั่นคง ได้กระทำต่อประชาชน  จะยิ่งเพิ่มความเกลียดชัง และการประนาม ของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล ต่อการกระทำอันไม่สมควรนี้

 

025พวกเขาที่ อ้างว่า จะสร้างโลกที่ไม่มีปีศาจร้าย กลับกลายเป็นพวกที่เล่นกับมันเสียเอง และแม้แต่ผู้นำก็ยังยอมรับใช้ต่อมัน

และการกระทำอันนี้  ประชาชนส่วนมากเชื่อว่า การต่อสู้กับผู้ก่อการร้าย  รัฐบาลจะไม่เข้าแทรกแซงชีวิตส่วนตัวของพวกเขา

ข้อ มูลที่สโนว์เดนเปิดโปงไว้ ได้ชี้ว่า อเมริกา เพิ่งจะสังเกตเห็นว่า ทุกข้อกล่าวที่ ได้กล่าวให้ร้ายต่อประเทศอื่นๆ คือการกระทำที่ไร้ซึ่งไร้จริยธรรม และนำพาสู่ความขัดแย้ง  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่จะทำลายความน่าเชื่อถือของสหรัฐ แต่มันยังชี้ให้เห็นอีกว่า อเมริกา ได้ใช้กฎหมายของตัวเองในการสร้างตราบาปให้กับประเทศอื่นๆ และมันยังได้แสดงโฉมหน้าใหม่อีกด้านหนึ่งของสหรัฐให้โลกได้รับรู้อีกด้วย

 

026ภัยอันตรายที่เกิดจากการก่อการร้าย ที่ประชาชน ชาวอเมริกา กำลังเผชิญอยู่ เมื่อสังเกตถึงจำนวนสถิติที่ หน่วยงานด้านความมั่นคง ทำสำเร็จ ดูเป็นสิ่งไร้ค่า ไปเลย หรือควรจะพูดว่า มันไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำไป อย่างที่ สโนเดนได้ชี้แจงไปแล้ว  เป็นไปได้ว่าคนอเมริกา กำลังจมน้ำตายในอ่างอาบน้ำของตัวเอง มากกว่า ที่ผู้ก่อการร้ายถูกสังหารเสียอีก

การหลบหนีของสโนว์เดน ได้แสดงให้เห็นถึงสองเส้นทาง ที่ปรากฎให้ประเทศตะวันตก คือ สิทธิมนุษยชน หรืออเมริกา

และเมินเฉย ต่อ การเปิดโปงของเขาผู้นี้

พวกเขาที่ อ้างว่า จะสร้างโลกที่ไม่มีปีศาจร้าย กลับกลายเป็นพวกที่เล่นกับมันเสียเอง และแม้แต่ผู้นำก็ยังยอมรับใช้ต่อมัน

นอกจาก หน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติจะระลึกให้เราได้รู้ถึง บริบททางการเมืองของสหประชาชาติที่ วางมาตรการในการสอดส่อง และเฝ้าระวังตามประเทศต่างๆแล้ว  พวกเขายังกลายเป็นคำเตือนที่ดีให้แก่ชาติต่างๆได้อีกด้วย

นอกจาก นี้ เราคงจะต้องตั้งข้อสงสัยกันถึงกฎหมายของพันธมิตรเสียแล้วว่า พวกเขาสามารถเชื่อใจพันธมิตรของตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน   เพราะไม่แน่ว่า วันหนึ่ง แม้แต่มิตรอาจจะถูกตลบหลังโดยไม่รู้ตัว!!!

ข้อมูล : http://www.mashreghnews.ir