farsnews – สมาชิกกลุ่มคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับได้ดำนินการตามชาติซาอุดิอาระเบียในการขึ้นบัญชี “ฮิซบุลเลาะฮ์” เป็นผู้ก่อการร้าย ซึ่งมีผลจากที่ฮิซบุลเลาะฮ์ได้วิจารณ์นโยบายการเมืองที่ของ “ซาอุดิอาระเบีย” และความล้มเหลวอย่างต่อเนื่องของซาอุดิอาระเบียในประเด็นเยเมนและภูมิภาค
ภายในระยะเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ หลังจากที่ซาอุดิอาระเบียตัดงบประมาณช่วยเหลือทางทหารให้กับกองทัพเลบานอนมูลค่านับล้านดอลลาร์ อีกทั้งเรียกร้องให้พลเมืองของตนห้ามเดินทางไปยังเลบานอน ล่าสุดทางสมาชิกกลุ่มคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับได้ขึ้นบัญชี “ฮิซบุลเลาะฮ์” เป็นผู้ก่อการร้าย
จากบทนำดังกล่าว raialyoum ได้มีการิเคราะห์ถึงเหตุผลว่า “ทำไมซาอุดิอาระเบียต้องขึ้นบัญชีกลุ่มก่อการร้ายฮิซบุลเลาะฮ์” โดยเขียนว่า ในครั้งนี้ก็เหมือนครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมาที่ซาอุดิอาระเบียได้ตัดสินใจดำเนินการดังกล่าวพร้อมกับรัฐอ่าวอาหรับเพื่อแสดงให้เห็นว่าการตัดสินครั้งนี้มิได้เป็นเรื่องส่วนตัวของซาอุดิอาระเบียเพียงชาติอย่างเดียว ทว่ามี 6 รัฐอาหรับเห็นด้วยกับมติดังกล่าวที่ไม่ได้มีการคัดค้านใดๆ ถึงแม้นว่าการตัดสินใจครั้งนี้ไม่ได้อยู่ในวาระการประชุมของสมาชิกกลุ่มคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับก็ตาม
เว็บไซด์ raialyoum รายงานว่า อับดุลลาติฟ อัลซายานี เลขาธิการประเทศสมาชิกกลุ่มคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับออกมาอ้างหลังจาก “การดำเนินการที่ก้าวร้าว” ว่า เราตัดสินใจขึ้นบัญชีฮิซบุลเลาะฮ์เป็นกลุ่มก่อการร้ายเนื่องจาก “การกระทำของฮิซบุลเลาะฮ์เป็นภัยคุกคามต่อชาติอาหรับ ได้ทำการฝึกอาวุธให้กับบรรดาเยาวชนในสมาชิกอ่าวอาหรับเพื่อก่อการร้ายและพยายามที่จะลักลอบนำวัตถุระเบิด ปลุกระดม และสร้างความกลาโหลวุ่นวาย” เขายังได้อ้างว่า การกระทำของฮิซบุลเลาะฮ์ ในซีเรีย เยเมน และอิรักนั้นขัดแย้งกับค่านิยม หลักจริยธรรมและกฎหมายต่างประเทศอีกทั้งยังเป็นภัยคุกคามต่อความความมั่นคงของชาติ อาหรับ
ตามรายงานระบุว่า เป็นไปได้ว่าการจับกุม “อับดุลมุห์ซิน บิน วาลิด บินอับดุลมุห์ซิน” เจ้าชายแห่งซาอุดิอาระเบียในกรุงเบรุตเนื่องจากลักลอบขนยาเสพติดยาชนิด “แคปตากอน” ตามคำสั่งของฮิซบุลเลาะฮ์ และสื่อที่ได้นำเสนอการโจมตีของ ” ซัยยิด ฮะซัน นัศรุลเลาะฮ์” ที่มีต่อซาอุดิอาระเบีย อันเป็นเหตุให้ซาอุดิอาระเบียตัดสินใจขึ้นบัญชีก่อการร้ายกลุ่มฮิซบุลเลาะฮ์ ซัยยิด ฮะซัน นุศรุลเลาะฮ์ ได้กล่าวปราศรัยครั้งล่าสุดว่า ริยาด ยังคงมีการโจมตี “โรงเรียน” มัสยิดและโรงพยาบาลในเยเมนอย่างต่อเนื่อง และฮิซบุลเลาะฮ์ไม่อาจนิ่งเฉยต่ออาชญากรรมเหล่านี้
raialyoum เขียนเสริมว่า ซาอุดิอาระเบียจะแสดงปฏิกิริยาที่อ่อนไหวอย่างมากในการวิจารณ์นโยบายของพวกเขา เนื่องจากเขาถือตนเองว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จากถูกวิจารณ์ใดๆ นอกจากนี้การวิจารณ์และวิพากษ์ต่อซาอุดิอาระเบียของนัศรุลเลาะฮ์นั้น เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่ริยาดได้สร้างสงครามนิกายกับสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านและพันธมิตรของอิหร่านในอิรัก เลบานอนและเยเมน
นอกจากนี้ห้วงเวลาสงครามที่ซาอุดิอาระเบียโจมตีเยเมนนั้นต้องประสบกับความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากในช่วงระยะเวลาดังกล่าวไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งเป้าไว้ อีกทั้งองค์การระหว่างประเทศยังกล่าวหาว่าซาอุดิอาระเบียเป็นชาติอาชญากรรมสงคราม และรัฐสภายุโรปก็มีมติไม่ให้มีการส่งอาวุธให้กับซาอุดิอาระเบีย
เว็บไซด์ดังกล่าว รายงานเสริมว่า เป็นไปได้ที่ซาอุดิอาระเบียจะตัดสินใจไล่ชาวเลบานอนและชีอะห์ออกจากประเทศชาติอ่าวเปอร์เซียซึ่งมีจำนวนนับแสนคน จากนั้นจะโยนความผิดนี้ให้ฮิซบุลเลาะฮ์เป็นผู้รับผิดชอบและต้นเหตุของสิ่งนี้
raialyoum ชี้ว่า การที่ซาอุดิอาระเบียกล่าวหาฮิซบุลเลาะฮ์เป็นอาชญากรและกลุ่มก่อการร้ายนั้นเป็นการดำเนินการก่อนสมาชิกยุโรปด้วยซ้ำไป เนื่องจากประเทศเหล่านี้ปฏิเสธคำเรียกร้องของอเมริกาและอิสราเอลในการขึ้นบัญชีฮิซบุลเลาะฮ์เป็นกลุ่มก่อการร้าย และข้อกล่าวหาดังกล่าวจะกล่าวหาเพียงแค่การทหารเท่านั้น
raialyoum ชี้ว่า หลายประเทศอาหรับมีความขัดแย้งกันในการแทรกแซงทางทหารของฮิซบุลเลาะฮ์ และย้ำว่าความขัดแย้งเหล่านี้ไม่ควรที่จะส่งผลกระทบต่ออิทธิพลแห่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของฮิซบุลเลาะฮ์ ซึ่งกลุ่มฮิซบุลเลาะฮ์สามารถยืนหยัดต้านทานอย่างแข็งแกร่งในการต่อต้านการรุกรานของอิสราเอล บังคับให้อิสราเอลถอนตัวออกจากเลบานอน ความพ่ายแพ้ของทหารอิสราเอลในสงครามปี 2006 และยิงจรวดหลายพันลูกเข้าไปในดินแดนของอิสราเอล นอกเหนือจากนี้อย่าทำให้เป็นละเลยต่อการสนับสนุนอย่ากว้างขวางของฮิซบุลเลาะฮ์ในการปฏิบัติการทางทหารและการฝึกอบรมให้กับกลุ่มขบวนการปกป้องมาตุภูมิปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา อันเป็นการสนับสนุนที่นำมาซึ่งชัยชนะของขบวนการปกป้องมาตุภูมิปาเลสไตน์และสามารถส่งชาวอิสราเอลจำนวน 4 ล้านกว่าคนเข้าหลุมหลบภัยของพวกเขา
เว็บไซด์ raialyoum เขียนว่า การที่ซาอุดิอาระเบียวิจารณ์ฮิซบุลเลาะฮ์ที่ได้แทรกแซงในซีเรียอิรักและเยเมนถือเป็นสิทธิของเขา แต่ถ้าหากทำการเปรียบเทียบการแทรกแซงของซาอุดีอาระเบียในประเทศเหล่านี้และการใช้ทุ่มงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์ และส่งอาวุธนับหมื่นตันให้ฝ่ายกบฏและเข้าสู่สนามสงครามโดยตรงในเยเมนแล้วถือเป็นสิ่งเล็กน้อย
ซาอุดิอาระเบียได้ส่งเครื่องบินรบนับร้อยลำโจมตี โรงเรียน ตลาด โรงพยาบาล และงานแต่งงานในเยเมนเป็นเหตุให้พลเมืองเยเมนต้องเสียชีวิตหมื่นกว่าคนและบาดเจ็บอีก 30,000 กว่าคน
เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สมาชิกกลุ่มคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับที่ได้ตามชาติซาอุดิอาระเบียได้ขึ้นบัญชี “ฮิซบุลเลาะฮ์” เป็นผู้ก่อการร้าย และ ทุกการเคลื่อนไหวของฮิซบุลเลาะฮ์ทั้งในด้านการเมืองและการทหารนั้นเป็นการก่อการร้าย
ก่อนหน้านี้ในปี 2014 ซาอุดิอาระเบียได้ขึ้นบัญชีฮิซบุลเลาะฮ์เป็นกลุ่มก่อการร้ายมาแล้ว ซึ่งเวลานั้นมีชาติบาห์เรนและยูเออีคล้อยตามการกระทำดังกล่าวและมีความคล้ายกันกับเหตุการณ์ในครั้งนี้