แนวทางแห่งข้อเท็จจริงของการต่อสู้กับการก่อการร้าย

519

sputniknews – วันนี้ประเด็นที่สื่อจับตามองและมีการนำเสนอข่าวสารทั่วโลกคือการเจรจาสันติภาพหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งที่ใกล้เคียงกับความถูกต้องมากที่สุดคือความพยายามในการเจรจาสันติภาพในประเทศที่กำลังเกิดสงครามต่อต้านการก่อการร้ายในตะวันออกกลาง

แต่ประเด็นที่มักจะมองข้ามก็คือการเจรจาสันติภาพทุกคนล้วนจะเข้าใจว่านั้นหมายถึงการเจรจาทางการทูตระหว่างรัฐบาลต่างๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ความขัดแย้งทางทหารระหว่างรัฐกับกองทัพของตนยุติลงด้วยดี ซึ่งวิธีการนี้สำหรับรัฐบาลต่างๆนั้นอาจจะนำไปสู่บทสรุปและผลลัพธ์ แต่สำหรับเรื่องราวและประเด็นที่เกี่ยวกับไอซิสเป็นจริงเช่นนี้หรือไม่  (สามารถที่จะเจรจาทางการทูตเพื่อหาข้อยุติได้หรือไม่)

ไอซิสไม่ได้เป็นรัฐบาลกลาง ไม่ได้เป็นรัฐสำหรับการเจรจาต่อรองทางการทูต และไม่ได้เป็นกองทัพ ในความเป็นจริงแล้วจำต้องตั้งคำถามว่า ในการเจรจาสันติภาพนั้นกำลังเจรจากลุ่มใด และอะไรคือประเด็นเนื้อหาของการเจรจาที่จะกล่าวถึง ? สหรัฐอเมริกาหรือซาอุดีอาระเบียหลังจากที่เสร็จสิ้นการเจรจาแล้วจะสามารถที่จะแจ้งผลลัพธ์ของการเจรจาให้กับกลุ่มหัวรุนแรงไอซิสและ Jabhat Al-Nusra ได้หรือไม่ ? ไอซิส และ Jabhat Al-Nusra และกลุ่มก่อการร้ายอื่น ๆจะยอมรับการเจรจาดังกล่าวที่เกิดจากการเจรจาสันติภาพบนพื้นฐานของคำแนะนำของสหรัฐอเมริกาและซาอุดีอาระเบียหรือไม่ ?

สิ่งที่ควรจะตั้งข้อสังเกตในที่นี้คือว่า วันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นในซีเรีย อิรักและเยเมน ไม่ใช่เป็นการสู้รบและการทำสงครามกับกลุ่มหนึ่งหรือสองกลุ่มก่อการร้ายที่มีชื่อเฉพาะไม่  ทว่าเป็นกลุ่มก่อการร้ายตักฟีรีย์ อันเป็นอุดมการณ์และแนวคิดที่สามารถซึมซับเข้าไปในทุกส่วนของโลก จากเปชาวาร์ไปยังแคลิฟอร์เนีย และจากกรุงจาการ์ตาไปยังกรุงปารีส  ในความเป็นจริงแล้วการต่อสู้กับการก่อการร้ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งการก่อการร้ายตักฟีรีย์ (takfir) ไม่ได้มีความพยายามที่จะต่อสู้กับปัญหารากฐานความเชื่อของการก่อการร้ายแต่อย่างใดเลย  การปราบปรามที่เกิดขึ้นล้วนแล้วเป็นการต่อสู้กับตัวบุคคลของการก่อการร้าย  และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงแต่จะไม่ลดลง แต่กลับพุดขึ้นมาเหมือนดอกเห็ดไปทั่วทุกหย่อมหญ้าของโลก

คำว่า “สงคราม” ไม่สามารถนำมากล่าวใช้กับกลุ่มก่อการร้ายเพียงอย่างเดียว เพราะสงครามเป็นหลักการบางอย่างที่สามารถนำมาใช้ตามหลักการของมันมากกว่าการเผชิญหน้าทางทหาร การทำธุรกรรมและการปฏิสัมพันธ์ทางการทูต สิ่งที่เราประจักษ์เห็นในวันนี้มันเป็นข้อเท็จจริงที่อยู่เหนือคำศัพท์และความหมายของสงคราม เนื่องจากปรากฏการณ์ที่เราเรียกว่าเป็นการก่อการร้ายที่เป็นอยู่นั้น มันไม่ได้เป็นภัยคุกคามสำหรับกองทัพ  รัฐบาล  การหรือแม้แต่ชีวิตของประชาชนเท่านั้น แต่มันกำลังเป็นภัยคุกคามต่อค่านิยมและความคิดของประชาชนทั่วทั้งโลก

การก่อการร้ายในวันนี้มิได้มีเป้าหมายเพื่อชัยชนะและมีอำนาจเหนือเมืองหรือในท้ายที่สุดเพื่อจัดตั้งรัฐบาลและการปกครองด้วยเป้าหมายทางการเงิน แต่มีเป้าหมายเพื่อแพร่ขยายความตึงเครียดและความรุนแรงให้กับประชาชนทุกคนทั่วทั้งโลก  โดยจะใช้โอกาสจากการผลักไซของสังคม การเหยียดหยามเชื้อชาติและศาสนา ความรุนแรงของรัฐบาล ความสิ้นหวังและเป็นฐานในการเคลื่อนไหวกิจกรรมของพวกเขา ซึ่งกรณีตัวอย่างที่เราเห็นจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงปารีสและซานเบอร์นาร์ดิโอ

ในการเผชิญหน้าและตอบโต้การก่อการร้ายจะต้องระบุสาเหตุและการจัดการกับมันโดยตรง การใช้กำลังอาจจะสามารถขับไล่หรือทำลายผู้ก่อการร้ายได้เพียงเท่านั้น  แต่รากเหง้าของการก่อการร้ายยังคงเดิม

ปัจจัยสร้างของการมีส่วนร่วมในความคิดของการก่อการร้ายเกิดขึ้นจากมิติต่างๆ ทั้งด้านการเมือง วัฒนธรรม สังคมและเศรษฐกิจ นั้นหมายถึงจากการเผด็จการของรัฐบาล การแช่แข็ง ทางปัญญา การเข้าใจหลักคำสอนศาสนาและอุดมการณ์แบบผิดๆ การเลือกปฏิบัติ ความยากจน และความแตกต่างระดับชนชั้น และซึ่งถ้าเอาปัจจัยเหล่านี้มารวมกันแล้ว จะไม่มีความแตกต่างอันใดระหว่างสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส อัฟกานิสถานและเชชเนีย  ซึ่งผลกระทบของมันอาจจะเลวร้ายที่สุดก็เป็นได้ และผลกระทบเหล่านี้สามารถเห็นได้ในจำนวนของเยาวชนหนุ่มสาวชาวยุโรปที่เข้าร่วมกับไอซิส

จะอย่างไรก็ตามการก่อการร้ายไม่เกิดมาจากผลผลิตของตะวันออกกลางและศาสนาอิสลามและประเทศตะวันตกควรจะหาวิธีการในการกำจัดมันในชุมชนของพวกเขาเอง