vigilantcitizen – ไม่จริงหรือ ที่วิถีแห่งประวัติศาสตร์ถูกชี้นำโดยคนกลุ่มน้อยที่ฝักใฝ่อำนาจในลักษณะเดียวกัน? ภาพวาด และรูปถ่ายของเหล่าบรรดา ‘บุรุษ’ ผู้เลืองชื่อและอำนาจ ในศตวรรษที่ผ่านมา แสดงให้เห็นร่องรอยที่เชื่อมโยงพวกเขาเข้าไว้ด้วยกัน.. เป็นความบังเอิญกระนั้นหรือ ที่ส่วนมากของพวกเขา ซ่อนมือหนึ่งข้าง ของตนเอาไว้ ขณะวางท่า เพื่อให้ศิลปิน หรือ ช่างภาพ เขียนวาด หรือ ถ่ายรูป? ดั่งนี้แล้ว เราจึงใคร่อยากเชิญชวนผู้อ่าน เข้ามาศึกษาที่มาที่ไปดั่งเดิมของ สัญลักษณ์ “มือที่ถูกซ่อน” ดังกล่าว จากข้อมูลขององค์กรลึกลับของชนชั้นสูงโลก – ฟรีเมสัน (องค์กรภราดรภาพที่มีเบื้องหลังอันลึกลับตั้งแต่ราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นองค์กรที่ ยึดเอาความเชื่อเรื่อง Supreme Being – ผู้เหนือสิ่งทั้งปวง เป็นธรรมนูญ) พร้อมกับประวัติย่อพอสังเขปของบรรดาบุรุษผู้เลืองอำนาจที่เคยได้ใช้สัญลักษณ์นี้ ตามที่ปรากฏอยู่ในภาพเหมือนชิ้นเลืองชื่อของพวกเขา
ฤาจะมีแรงขับเคลื่อนเฉพาะเจาะจงแอบแฝง ซึ่งผลักดันให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆในหน้าประวัติศาสตร์โลกในศตวรรษก่อนหน้า? การล่มสลายลงของระบบศักดินายุโรป จุดกำเนิด ยุคเรืองปัญญา และเส้นทางสู่โลกแห่งประชาธิปไตยในปัจจุบันของเรา คือส่วนหนึ่งจากแผนการที่ยิ่งใหญ่ นำโดย องค์กรลับแห่ง ‘มือที่ถูกซ่อน’??
ก่อนการกำเนิดขึ้นของ สื่อกระแสมวลชน ภาพวาดเสมือนจริงของบรรดาผู้นำ ในท่าทางสุดสง่าผ่าเผย คือสิ่งเดียวที่ผู้คนใช้อ้างอิงถึงรูปลักษณะเพื่อทำความรู้จักกับผู้นำของพวกเขา เช่นนี้แล้ว ภาพเสมือนจริงเหล่านี้ จะเป็นเพียงแค่ภาพวาด หรือ มันจะมีความหมายแอบแฝงที่ซ่อนเร้นมากยิ่งไปกว่านั้น เป็นปริศนาที่น่าสงสัย และน่าสนใจจับมาวิเคราะห์เป็นอย่างยิ่ง
ที่ผ่านมา ผู้เขียนจำได้ว่าเคย มีอาจารย์ประจำวิชาประวัติศาสตร์ พยายามที่จะตอบคำถามถึงการวางท่าทาง โดยซ่อนมือข้างหนึ่งไว้ ของโนโปเลียน ซึ่งอาจารย์เองก็ตอบไปอย่างที่เขาว่ากัน คือ โนโปเลียน เป็นโรคผิวหนังบ้าง มีแผลในกระเพาะอาหารบ้าง ไม่ก็ว่า เป็นธรรมเนียมถือปฏิบัติกันในยุคสมัยนั้น ฯลฯ ฉะนี้ ก็อดสงสัยไม่ได้ เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่ว่า บุรุษผู้มีชื่อเสียง เหล่านี้ทุกคนที่ยกมา จะมีโรคเหมือนๆกัน จึงได้ซ่อนมือเอาไว้ในลักษณะเดียวกันหมดทุกคน โดยเฉพาะเมื่อ ส่วนมากของพวกเขา คือ สมาชิกขององค์กรฟรีเมสันด้วย เมื่อพิจารณาจากความสำคัญของเจ้าท่าซ่อนมือในพิธีกรรมของชาวฟรีเมสัน และความจริงที่ว่า กลุ่มคนชั้นสูงเหล่านี้ ต่างก็เป็นสมาชิกขององค์กร หรือ ที่มีความรู้เกี่ยวกับมัน…เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสมมติเอาว่า การวางท่าแบบนี้ชองพวกเขาทุกคนเป็นผลพวงจากความบังเอิญ
ความจริงมีอยู่ว่า มือที่ถูกซ่อน สามารถพบเห็นได้ในพิธีกรรมอันเกี่ยวข้องกับ การจัดระดับของผู้บำเพ็ญตน เป็นมหาราชบัณฑิต ภายในองค์กรฟรีเมสัน (The Royal Arch Degree of Freemasonry) และจากภาพของบรรดาผู้นำระดับโลก
ในระดับขั้นบำเพ็ญตน The Royal Arch Degree of Freemasonry หรือที่รู้จักกันในฐานะ เมสันแห่งความลับ (the Mason of the Secret) กล่าวกันว่า ผู้บำเพ็ญตนจะได้รับรู้ซึ่ง ความจริงทั้งหลายแห่งเมสัน ซึ่งในระดับนี้นี่เองที่ ผู้บำเพ็ญตนจะได้เรียนรู้ความลี้ลับ และนามอันศักดิ์สิทธ์ของพระเจ้า “ญะบะลูน” ซึ่งให้ความหมายถึง พระเจ้า ในภาษาซีรีแอก คัลดาแอก และ อียิปต์
การทำพิธีเข้ารับสู่ระดับบำเพ็ญตนขั้นนี้ ถูกกำหนดขึ้นเมื่อคราที่ สามสมาชิกผู้ทรงคุณวุฒิแห่งเมสัน หวนคืนสู่กรุงเยรูซาเล็มหลังจากได้ถูกกุมขังอยู่ในเมืองบาบิโลน พิธีกรรมส่วนหนึ่งมีบัญชาให้ผู้เข้ารับสู่ระดับบำเพ็ญตนขั้น มหาราชบัณฑิตดังกล่าวเรียนรู้ รหัสลับ และสัญลักษณ์มือ เพื่อข้ามผ่านลำดับผ้าคลุม ภาพข้างล่างเผยให้เห็นถึงสัญลักษณ์มือ สำหรับการข้ามผ่านลำดับผ้าคลุมที่ 2 ตามเนื้อหาซึ่งปรากฏอยู่ในงานเขียนของ Malcolm C. Duncan – Duncan’s Masonic Ritual and Monitor (อันเกี่ยวข้องกับ พิธีกรรมเข้ารับสู่องค์กรฟรีเมสัน)
สัญลักษณ์มือในลักษณะเช่นนี้ มีที่มาจากโองการ Exodus 4:6 ความว่า :
“และพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสอีกว่า “เอามือของเจ้าสอดไว้ที่อก (หัวใจ) ของเจ้า” ท่านก็สอดมือของท่านไว้ที่อกของท่าน และเมื่อชักมือออก ดูเถิด มือของท่านก็เป็นโรคเรื้อน ขาวเหมือนหิมะ”
“And the Lord said unto Moses, Put now thine hand into thy bosom. And he put his hand into his bosom; and when he took it out, behold, his hand was leprous as snow”
จากโองการของคัมภีร์ไบเบิลที่ว่านี้ คำว่า ‘หัวใจ’ (bosom) ให้ความหมายถึง สิ่งที่เราเป็น และ ‘มือ’ ให้ความหมายถึงสิ่งที่เราทำ ฉะนี้จึงสามารถทำความเข้าใจได้ว่า : “สิ่งที่เราเป็น ท้ายที่สุดแล้วคือสิ่งที่เราทำ” ความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ของมือที่ถูกซุกในอก อาจจะอธิบายให้เราเข้าใจในระดับเบื้องต้นได้ว่า เหตุใดมันจึงถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในหมู่สมาชิกชาวเมสันผู้มีชื่อเสียง มือที่ถูกซ่อนบอกใบ้ให้ผู้ริเริ่มเข้าใจได้ว่า บุคคลใดก็ตามที่ประกอบท่าทางดังกล่าว คือส่วนหนึ่งจากกลุ่มภราดรภาพลับนี้ และการกระทำของพวกเขาย่อมได้รับแรงดลใจมาจากปรัชญาและความเชื่อแห่งลัทธิเมสัน
ดังต่อไปนี้ คือบางส่วนจากบุรุษผู้มีชื่อเสียง ซึ่งเคยได้ใช้สัญลักษณ์มือดังกล่าว
จักรพรรดิโปเลียน หรือ นโปเลียน โบนาปาร์ต
(ฝรั่งเศส: Napoléon Bonaparte; 1769-1821) เป็นนายพลและผู้นำทางการเมือง ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส ดำรงตำแหน่งกงสุลเอกของฝรั่งเศส ตั้งแต่ปลายปี ค.ศ. 1799 และได้กลายเป็นจักรพรรดิ ของชาวฝรั่งเศสระหว่างปี ค.ศ. 1804 ถึง ค.ศ. 1814 ภายใต้พระนามว่า นโปเลียนที่ 1 ผู้ได้มีชัยและปกครองดินแดนส่วนใหญ่ของทวีปยุโรป ได้แต่งตั้งให้แม่ทัพและพี่น้องของเขาขึ้นครองบัลลังก์ในราชอาณาจักรยุโรปหลายแห่งด้วยกัน เช่น ราชอาณาจักรสเปน, ราชอาณาจักรเนเปิลส์, ราชอาณาจักรอิตาลี, ราชอาณาจักรฮอลแลนด์ (เนเธอร์แลนด์) และ ราชอาณาจักรสวีเดน
นอกจากนี้ พี่น้องของเขา รวมไปถึง 5 จาก 6 สมาชิกกิตติมศักดิ์ของสภาแห่งจักรวรรดิ ต่างก็เป็นสมาชิกจากฟรีเมสันเช่นเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่าง นโปเลียนกับลัทธิเมสันมีปรากฏอยู่มากมายในบทรายงาน และงานเขียนต่างๆในประวัติศาสตร์
“มีหลักฐานซึ่งมิอาจโต้แย้งได้ว่า นโปเลียนมีความคุ้นเคยกับธรรมชาติ จุดมุ่งหมายและองค์กรฟรีเมสัน เขาได้รับการอนุมัติจากองค์กรนี้ และใช้มันเพื่อกอบโกยประโยชน์ส่วนตน”
J.E.S. Tuckett กล่าว ในผลงานของเขา เรื่อง นโปเลียน I และฟรีเมสัน (Napoleon I and Freemasonry)
คาร์ล ไฮน์ริช มากซ์
(อังกฤษ: Karl Heinrich Marx; 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2361 — 14 มีนาคม พ.ศ. 2426) เป็นนักปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์การเมือง นักประวัติศาสตร์ นักสังคมนิยม นักคอมมิวนิสต์ และนักปฏิวัติชาวเยอรมัน ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของแนวคิดที่มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาคอมมิวนิสต์สมัยใหม่ กล่าวกันว่า มากซ์ ได้รับ Grand Orient ระดับขั้นที่ 32 จากฟรีเมสัน
จอร์จ วอชิงตัน
(อังกฤษ: George Washington, 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1732– 14 ธันวาคม ค.ศ. 1799) เป็นผู้นำทางทหารและการเมืองที่โดดเด่นของสหรัฐอเมริกาที่เพิ่งก่อตั้งขึ้น ระหว่าง ค.ศ. 1775 ถึง 1799 เขานำสหรัฐจนได้รับชัยชนะเหนือบริเตนใหญ่ในสงครามปฏิวัติอเมริกัน ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพภาคพื้นทวีปใน ค.ศ.1775-1783 และรับผิดชอบการร่างรัฐธรรมนูญใน ค.ศ. 1787 เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา ดำรงตำแหน่ง ค.ศ. 1789-1797 วอชิงตันเป็นผู้นำการสร้างรัฐบาลแห่งชาติที่เข้มแข็งและมีการคลังที่ดี
นอกจากมือที่ถูกสร้าง ภาพวาดนี้ยังมีจุดที่น่าสนใจอีกแห่ง คือ วิธีการยืนของวอชิงตัน โดยการวางเท้าของเขาสัมพันธ์โดยตรงกับ สัญลักษณ์เมสัน ซึ่งสามารถเปรียบได้กับภาพที่เอามาจากงานเขียนอันเกี่ยวข้องกับ พิธีกรรมเข้ารับสู่องค์กรฟรีเมสัน โดย Duncan (Duncan’s Masonic Ritual and Monitor)
โวล์ฟกัง อะมาเดอุส โมซาร์ท
(เยอรมัน: Wolfgang Amadeus Mozart ภาษาเยอรมัน: [ˈvɔlfɡaŋ amaˈdeus ˈmoːtsaʁt]) 27 มกราคม พ.ศ. 2299 – 5 ธันวาคม พ.ศ. 2334 (ค.ศ. 1756 – 1791) เป็นนักประพันธ์ดนตรีคลาสสิกชาวออสเตรียที่มีชื่อเสียงก้องโลก โมซาร์ทเกิดที่เมืองซาลซ์บูร์ก เขามีงานประพันธ์เพลง 700 ชิ้นรวมทั้งอุปรากร (ดนตรีซึ่งมีเนื้อเรื่อง) ชื่อ ดอน โจวันนี (Don Giovanni) และ ขลุ่ยวิเศษ (Die Zauberflöte) ปัจจุบันผลงานต่าง ๆ ของเขาได้ถูกนำมาจัดจำหน่ายเป็นสื่อต่าง ๆ มากมาย
ผลงานของโมซาร์ทส่วนมากจะมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมีนัยยะสำคัญกับองค์กรลับเมสัน ผลงานโอเปร่า ขลุ่ยวิเศษ ของเขา มีเบื้องหลังที่มาจากหลักการของเมสัน
Salomon Mayer von Rothschild
บุตรคนที่สองของ Mayer Amschel Rothschild เป็นผู้ก่อตั้งและบริหารงานอยู่ที่ เวียนนา ประเทศออสเตรีย ตระกูล Rothschild ถือได้ว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และเป็นครอบครัวที่ควบคุมเศรษฐกิจโลกทั้งระบบ ซึ่งมีอิทธิพลทางการเมืองเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการร่างนโยบายปกครองประเทศ เยอรมณี ฝรั่งเศส อิตาลี และ ออสเตรีย นอกจากนี้ยังเป็นผู้เล่นตัวสำคัญเบื้องหลังการสถาปนาลัทธิไซออนิสต์ และก่อตั้งรัฐอิสราเอล
ตระกูล Rothschilds มีอิทธิพลเหนือขอบเขตของชาวฟรีเมสันคนอื่นๆ กล่าวกันว่า พวกเขาเป็นหนึ่งใน 13 “สายเลือด อิลูมีนาติ” หลากหลายบทวิเคราะห์อันเกี่ยวข้องกับการสร้างศาลสูงสุดของรัฐอิสราเอล ยืนยันว่า ตระกูล Rothschilds มีความสัมพันธ์โดยตรงกับองค์กรลับฟรีเมสัน
Simon Bolivar
เปรียบว่า โบลิเวีย คือ จอร์จ วอชิงตันแห่ง อเมริกาเหนือ เขาเข้าร่วมกับองค์กรฟรีเมสันใน แคดิส สเปน ทั้งยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็น อัศวินผู้บัญชาการของอัศวินนักรบในประเทศฝรั่งเศส ปี 1807 ประเทศ โบลีเวีย ได้รับการตั้งชื่อประเทศตามชื่อของเขา เขายังเคยดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีประเทศ โคลัมเบีย เปรู และโบลิเวีย
สังเกต ได้ว่า ภาพข้างบน แสดงให้เห็นถึงตำแหน่งการวางเท้าที่สื่อถึงสัญลักษณ์ของฟรีเมสัน (เหมือนกับของ จอร์จ วอชิงตันที่กล่าวข้างต้น) และ พื้นเป็นตารางหมากรุก ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ขององค์กรลึกลับเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ลักษณะท่าทางของเขา ยังสามารถกล่าวได้ว่า ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก อัศวิน แห่ง Christian Mark Degree ตามที่แสดงให้เห็นข้างล่าง จากงานเขียนเรื่อง Monitor of Freemasonry ของ Richardson:
Joseph Stalin
โจเซฟ สตาลิน (1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1878 – 5 มีนาคม ค.ศ. 1953) เป็นผู้นำของสหภาพโซเวียต ตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 1920 ถึง ค.ศ. 1953
สตาลินสืบทอดอำนาจจาก วลาดิมีร์ เลนิน และนำโซเวียตก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจของโลก หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ในยุคสมัยการปกครองของสตาลิน ความหวาดกลัวแพร่ขยายปกคลุมทั่วสหภาพโซเวียต ผู้คนนับล้านภายในชาติสังเวยชีวิตให้กับการกดขี่ และสงคราม หลายๆครั้งในรูปถ่าย หรือ ภาพวาด เรามักจะสังเกตเห็นสัญลักษณ์มือที่ถูกซ่อน ถึงแม้จะไม่มีบันทึกอย่างเป็นทางการเพื่อพิสูจน์การเข้าร่วมกับองค์กรลึกลับดังกล่าว แน่นอนว่า เผด็จการอย่างสตาลิน ย่อมไม่ปล่อยให้ข้อมูลเกี่ยวกับตน ไม่ว่าจะเรื่อง ธุรกิจ การเมือง หรือ เรื่องส่วนตนรั่วไหล เขาย่อมมีมาตรการควบคุมความปลอดภัยของข้อมูลเหล่านี้ ดังนี้จึงไม่แปลกที่เราแทบหาข้อมูลพิสูจน์การเข้ามามีส่วนร่วมของสตาลินกับ องค์กรฟรีมสันไม่ได้เลย อย่างไรก็ตาม สัญลักษณ์มือที่ถูกซ่อน ตามที่ปรากฏอยู่ ก็ช่วยให้เราเข้าใจอะไรๆมากขึ้น มันบอกใบ้ให้เราทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่าง เผด็จการเลืองชื่อ กับ ฟรีเมสันลึกลับนี่เอง
สรุป
ตามที่เราเห็นแล้วว่า บุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์โลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ผู้นำประเทศและการปกครอง ต่างก็ใช้สัญลักษณ์มือที่ถูกซ่อนนี้ ทุกๆคนที่ยกมาล้วนมีอิทธิพลที่สำคัญต่อเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์โลกในอดีต ที่ส่งผลกระทบมาจนถึงปัจจุบัน ภาพเหล่านี้ บอกใบ้ค่อนข้างชัดเจนว่า พวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับ องค์กรลึกลับที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของโลก ฟรีเมสัน ฉะนี้ เมื่อเรารับรู้ถึงข้อเท็จจริงจากการสังเกตนี้ เราจึงไม่อาจจะลบหนีจากข้อสรุปง่ายๆว่า มันมีอิทธิพล และอำนาจซ่อนเร้นขับเคลื่อนทุกๆการเคลื่อนไหวของโลก ไม่ว่าจะเป็นทางการเมือง หรือ เศรษฐกิจ อันสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนไม่มีความบังเอิญ มันต่างนำพาโลกไปสู่ ระบอบประชาธิปไตย และการลุกขึ้นมามีอำนาจของเหล่าบรรดามหาอำนาจยุคปัจจุบัน
ศึกษาอย่างผิวเผิน เราอาจจะเข้าใจได้ว่า สมาชิกจากกลุ่มภราดรภาพเหล่านี้ มีแนวคิดทางการเมืองที่แตกต่างกัน บ้างเป็น คอมมิวนิสต์ บ้างก็สนับสนุนระบอบทุนนิยม ทว่าเมื่อเราศึกษา และสังเกตถึงร่องรอย หรือ สัญลักษณ์ต่างๆที่ประวัติศาสตร์ทิ้งเอาไว้ เรากับพบว่า ปรัชญาเบื้องต้น ความเชื่อ และ เป้าหมายสูงสุดของพวกเขา กลับกลายเป็นสิ่งเดียวกัน และมีรากฐานมาจากที่เดียวกัน แน่นอนว่า มีงานวิจัยมากมาย เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีสมคบคิดนี้ และนักวิจัยไม่มากก็น้อยทั่วโลก ก็รู้ดีถึงอิทธิพลขององค์กร ฟรีเมสัน และลัทธิอิลูมินาติ กับแผนการครองโลก New World Order
ดังนี้แล้ว ข้อมูลอันเกี่ยวกับ สัญลักษณ์มือที่ถูกซ่อนชิ้นนี้ จึงเป็นเพียงแค่ ความจริงจากการสังเกตการณ์เพียงเล็กน้อย เสมือนกับ ตัวต่อจิกซอว์ชิ้นเล็ก ชิ้นเดียว ท่ามกลางความจริงทั้งหมด อย่างไรก็ดี สัญลักษณ์เล็กน้อย ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรถูกมองข้าม นโยบายทางการเมือง ระบบการปกครอง สิ่งที่ผู้นำโลกเหล่านี้เคยกระทำไว้ อาจจะถูกยกเลิก แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือ ลืมเลือนไปแล้ว ทว่าที่ไม่ได้จ่างหายไปเลย ก็คือ ร่องรอยทางประวัติศาสตร์ และสัญลักษณ์ต่างๆที่พวกเขาทิ้งเอาไว้ ไม่แปลกเลยที่จะมีคำพูดกล่าวเอาไว้ว่า “สัญลักษณ์ต่างหากที่ครองโลก ไม่ใช่คำพูด ไม่ใช่กฎหมาย “